HUMANITY

เปิดหัวใจนักปฏิวัติกะเหรี่ยง Ep.02: ผบ.กองพล 5 KNLA/KNU ประณามการโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่า เป็นปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม

“ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง” ยังหลบหนีในป่า หวั่นเสียงระเบิด แต่ใจสู้เพื่อร่วมปกป้องดินแดนกะเหรี่ยง ห่วงลูกมีอาการท้องร่วง ผบ.กองพล 5 KNLA/KNU ประณาม การโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่า เป็นปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม ขณะที่ รอง ผบ.ส.ส.ขอบคุณคนไทยช่วยเหลืออาหาร แต่ยังติดการขนส่งที่ถูกทหารพม่ายิงเรือส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ในแม่น้ำสาละวิน วอนผู้นำทุกฝ่าย คิดถึงประชาชนเป็นสำคัญ

กลางหุบเขาในเมืองเดปูโน่ว รัฐกะเหรี่ยง ฐานที่มั่นของกองพล 5 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง KNLA สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU กว่าสามสัปดาห์ หลังกองทัพพม่า เปิดฉากโจมตีทางอากาศ ทิ้งระเบิดในเมืองเดปูโน่ว เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 64 สร้างความเสียหายให้กับอาคารของกองบัญชาการกองพล 5 เสียหาย 2 หลัง อาคารผลิตขาเทียม เสียหาย บ้านเรือนประชาชนพัง 14 หลัง ประชาชนเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 7 ราย และโรงเรียน 2 หลัง ที่เป็นโรงเรียนของประชาชน ไม่ใช่โรงเรียนทหาร ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้ พล.ต.จอหมื่อแฮ ผู้บัญชาการกองพลที่ 5 KNLA/KNU ประณามการกระทำของกองทัพพม่า เป็นปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม เพราะการโจมตีไม่ได้มุ่งทำลายทหาร และทำร้ายประชาชน

“หากทหารพม่าจะโจมตีทหารกะเหรี่ยง ก็มารบกัน ไม่ใช่ไปทำร้ายประชาชน สร้างความเสียหาย ความหวาดกลัวให้ประชาชน ระเบิดถูกทิ้งลงในพื้นที่พลเรือนทั้งหมด มีประชาชนเสียชีวิต 4 คน เป็นเด็ก 3 คน ถือเป็นปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม ที่ทหารพม่าต้องการสร้างความแตกแยกในกลุ่มประชาชนกับทหารกะเหรี่ยงหรือไม่”

พล.ต.จอหมื่อแฮ ผู้บัญชาการกองพลที่ 5 KNLA/KNU

พล.ต.จอหมื่อแฮ ผู้บัญชาการกองพลที่ 5 KNLA/KNU เปิดเผยว่า พวกเขาเป็นห่วงประชาชน อยากให้กลับมาบ้านโดยเร็วที่สุด บ้านเรือนถูกทิ้งร้าง ไร่นา สัตว์เลี้ยงไม่มีคนดูแล ยิ่งถึงฤดูกาลทำไร่ หากปีนี้ไม่ได้ทำ ปีนี้ก็จะไม่มีข้าวกินกัน เป็นเรื่องที่ทหาร กำลังหาทางให้ประชาชนได้กลับมาอยู่อย่างปลอดภัย

“ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่วันที่มีการทิ้งระเบิด ลูกฉันยังเล็กมาก เลยอพยพไปที่ฝั่งไทยไม่ไหว เราเลยสร้างเพิงพักอยู่ในป่า แต่อยู่ที่นี่เราก็หวาดกลัวอย่างมาก เพราะยังมีเครื่องบินรบและโดรนบินลาดตระเวน เรายังได้ยินเสียงระเบิด เรากลัว เราต้องทำอาหารกินในตอนกลางวัน เพื่อตกค่ำ เราจะไม่ใช้ไฟ ไม่ให้โดรนทหารพม่ามองเห็นได้ เราต้องอยู่ในความมืด”

หญิงชาวกะเหรี่ยง ที่หลบหนีอยู่ในเพิงพักกลางป่า บอกว่า สิ่งที่เธอห่วงมากขณะนี้คือ อาการท้องร่วงของลูกน้อย 4 คน ที่มีทั้งทารก 8 เดือน ไปถึง 4 ขวบ ที่ผ่านมามีแพทย์อาสาของทหารมาเยี่ยมบ้าง แต่เข้าใจดีว่ายาไม่เพียงพอ

ครอบครัวชาวกะเหรี่ยง อีกจำนวนมาก ที่หลบหนีอยู่ตามป่า ตอนกลางวันพวกเขาจะมารวมกันที่กระท่อม กลางไร่ แต่กลางคืน ต้องหลบไปนอนตามใต้ต้นไม้ การเลือกมาหลบอยู่ตามไหล่เขา สวนหนึ่งก็เพื่อให้พอมีโอกาสได้มาถางไร่ ที่ช่วงเวลานี้ เป็นฤดูเพาะปลูก ที่ต้องเริ่มทำแล้ว หลายคนจึงเสี่ยงที่จะไปแผ้วถางไร่ ในขณะที่หูต้องคอยฟังเสียงเครื่องบิน และเสียงระเบิด ให้วิ่งหนีได้รวดเร็ว

ชายคนหนึ่ง อพยพไปอยู่ริมน้ำสาละวินฝั่งไทย 14 วันก่อนจะถูกผลักดันให้กลับมา เขาตัดสินใจกลับมาในหมู่บ้าน และเริ่มสร้างเพิงพักหลังเล็กกลางไร่ เพราะยังไม่กล้ากลับเข้าบ้าน เขาบอกว่า ถ้าปีนี้ไม่ได้ปลูกข้าว ก็ไม่มีข้าวกิน ชีวิตกะเหรี่ยงก็เป็นแบบนี้ เป็นความยากลำบากที่ต้องเผชิญ แต่จะอดทน เพื่อยืนหยัดในการรักษาดินแดนกะเหรี่ยง

การทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศของทหารพม่า ยังส่งผลให้โรงเรียนสองแห่งในเมืองเดปูโน่ว เสียหาย หลังคาอาคารทั้งหลังพังลงทับโต๊ะเก้าอี้ ประตู หน้าต่างแตกจากแรงระเบิด อุปกรณ์การเรียนการสอน กองจมอยู่กับพื้น รวมถึงหน้ากากอนามัยของเด็ก จากสภาพอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู และกลายเป็นผลกระทบที่สำคัญไปถึงการศึกษาของเด็ก ที่ยังคงหลบหนีการสู้รบอยู่กับครอบครัว

การสู้รบครั้งนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อ เด็กนักเรียน และครู ในพื้นที่ของ KNU ด้วย เพราะหนึ่งในพื้นที่ที่กระทบ คือวิทยาลัยครูกะเหรี่ยง Karen Teacher Training Collage ที่ตั้งอยู่ริมน้ำสาละวิน มากว่า 20 ปี ต้องปิดการเรียนการสอนอย่างไม่มีกำหนด

“ที่วิทยาลัยครูของเรา ไม่เสียหายจากระเบิดก็จริง แต่ครูและนักเรียน กว่า 100 คน ก็ต้องอพยพข้ามน้ำสาละวินไปฝั่งไทย เช่นกัน ตอนนี้เรากลับมา แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบ เราคาดหวังว่า หากเกิดเหตุขึ้นอีก ทางรัฐบาลไทย จะให้พวกเราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว อยากให้เอื้อาทรต่อกัน ในฐานะเพื่อนบ้าน”

หมื่อที ครูประจำวิทยาลัยครูกะเหรี่ยง KTTC ยอมรับว่า การสู้รบครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง เพราะเรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่า เด็กจะได้กลับมาเรียนหนังสือเมื่อไหร่ รวมถึงการผลิตครู ไปยังโรงเรียนต่างๆ ในรัฐกะเหรี่ยง จะต้องล่าช้าไปอีก และในระหว่าการอพยพ ก็ต้องช่วยกันดูแลอาหาร สิ่งของช่วยเหลือต่างๆ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนทำให้การส่งสิ่งของช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ยังจำเป็นต่อผู้อพยพ กว่า 10,000 คน ซึ่งช่องทางเดียวที่ทำได้คือการขนส่งทางเรือผ่านแม่น้ำสาละวิน เพราะเส้นทางในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงมีฐานทหารพม่าอยู่ตามเส้นทาง การเข้าถึงขององค์กรต่างๆทำได้ยาก ซึ่งสิ่งของบริจาคของคนไทยได้ส่งมาถึงก่อนหน้านี้ ได้รับคำขอบคุณจากผู้นำ KNU แต่ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ทหารพม่า ฐานตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่ง ได้ยิงเรือส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ ทำให้ชาวบ้านที่รับจ้างขับเรือส่งของหวาดกลัว หากต้องแล่นเรือต้องไปแจ้งรายชื่อที่ฐานทหารพม่าด้วย

“ในสถานการณ์สงครามการกินอยู่ย่อมลำบาก ขอบคุณคนไทยที่ช่วยเหลือ แต่ทราบว่ามีปัญหาการขนส่ง ก็อยากให้ผ่อนปรนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นบุญที่สุดแล้ว หากวันหนึ่งมีสิ่งที่ตอบแทนได้เราจะช่วยคืนแน่นอน แต่ตอนนี้อยากให้ทุกฝ่ายนึกถึงประชาชน ไม่ควรมองเรื่องกองทัพ”

พล.อ.บอจ่อแฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด KNLA/KNU เปิดเผยว่า อยากให้ทั้งไทย พม่า กะเหรี่ยง มองที่ปัญหาประชาชน ไม่ใช่ปัญหาของทหาร เพราะนี่คือความเดือดร้อนของประชาชนที่เร่งด่วน ไม่ควรมองเป็นเรื่องของกองทัพ และเห็นว่าทหารพม่าที่อยู่ชายแดน ไม่ควรขัดขวางหรือทำในสิ่งที่ไม่ควร เพียงเพื่อจะสร้างความหวาดกลัวแก่ชาวบ้าน ไม่อยากให้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เหมือนที่ทหารพม่ายิงประชาชนที่ชุมนุมประท้วงในเมืองด้วยมือเปล่า

พล.อ.บอจ่อแฮ จึงคาดหวังว่าผู้นำทุกฝ่ายจะมองเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ต้องมีต่อประชาชน

Related Posts

Send this to a friend