ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา ‘แอมมี่ – ปูน ทะลุฟ้า’ คดี ม.112 – พ.ร.บ.คอมฯ 26 มี.ค.นี้
ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา ‘แอมมี่ – ปูน ทะลุฟ้า’ คดี ม.112 – พ.ร.บ.คอมฯ 26 มี.ค.นี้ หวัง ได้รับความยุติธรรม พร้อมสิทธิการประกันตัว
วันนี้ (15 ม.ค. 67) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังจาก นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ พร้อมด้วย นายธนพัฒน์ กาเพ็ง หรือปูน ทะลุฟ้า เข้าฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คดีที่ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ฟ้องคดี ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 , มาตรา 217 วางเพลิงเผาทรัพย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการฟังคำวินิจฉัย หลังจากนั้นทั้งสองได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
นายธนพัฒน์ กล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเผาพระบรมฉายาลักษณ์เป็นการใช้สิทธิ และเสรีภาพเกินขอบเขต อาจจะทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 26 มีนาคม นี้
ส่วนความพร้อมที่จะฟังคำพิพากษาของศาลนั้น นายธนพัฒน์ ระบุว่า พร้อม เพราะส่วนตัวคิดว่าการกระทำของตนเองต่อให้จะผิดหรือไม่ผิดตามบทบัญญัติของตุลาการ แต่เรารู้ว่าการกระทำของเรา มีเจตนารมณ์เพื่ออะไร ซึ่งตอนนั้นเพื่อนของเรายังอยู่ในเรือนจำ และมันสื่อว่าความยุติธรรมที่เราตามหา มันยังไม่ถึงจุดหมายสักที และคิดว่าการมาฟังคำวินิจฉัยในวันนี้ ถือว่าเห็นแนวทางคำพิพากษาว่าจะเป็นอย่างไร และยังมีเวลาในการเตรียมตัว หวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะยุติธรรมจริง ๆ สิทธิในการประกันตัวจะเป็นของเราจริง ๆ รวมไปถึงเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำด้วย โดยข้อห้ามของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ก็ยังไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ซึ่งตนเองจะให้เหตุผลว่ายังติดเรื่องการเรียน ทำให้ศาลเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาจากวันที่ 29 มกราคมไปเป็นวันที่ 26 มีนาคมแทน
ด้านนายไชยอมร ระบุว่า การกระทำดังกล่าวไม่ต้องพูดว่าขัดหรือไม่ขัดต่อการใช้สิทธิเสรีภาพ แต่ศาลวินิจฉัยว่าผิด อีกทั้งคำวินิจฉัยนี้ ตนเองเคยเห็นแล้วจากสื่อ และในวันนี้ไม่ได้ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่เข้ามาฟังคำวินิจฉัย
ส่วนความมั่นใจในวันฟังคำพิพากษาของศาลนั้น นายไชยอมร มองว่าคดีนี้เป็นคดีความทางการเมือง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้น และหลังจากนี้ได้วางแผนจัดการเรื่องที่เราจะต้องส่งต่อ ทั้งร้านอาหาร สัญญาของค่ายเพลง ค่าประกันชีวิต ค่าเทอมของลูกสาว และจะพูดคุยกับอดีตภรรยาเพื่อวางแผนอนาคตของลูกด้วย
สำหรับเรื่องของ ’เมรี‘ อดีตแฟนนั้น นายไชยอมร กล่าวว่า ถือว่าเป็นบทเรียน และอย่างน้อยก็ได้เห็นว่ามีใครยังยืนอยู่ข้าง ๆ และซัพพอร์ตเรา ซึ่งหลังจากนี้จะแสดงความรับผิดชอบให้ชัดเจน และตรงไปตรงมามากขึ้น และยืนยันว่า ไม่มีใครขู่เข็ญและบังคับ เราอยากแสดงความจริงใจ และขอขมาผู้ใหญ่ ส่วนจะเข้าไปช่วงไหนนั้นก็เป็นเรื่องของอนาคต
