‘เสรีพิศุทธ์’ แท็กทีม ‘อนันต์ชัย’ ร้อง ป.ป.ช.ฟัน ‘เศรษฐา’ ปมเลือก ผบ.ตร. โดยมิชอบ

‘เสรีพิศุทธ์’ แท็กทีม ‘อนันต์ชัย’ ร้อง ป.ป.ช. ฟัน ‘เศรษฐา’ พร้อม ก.ตร. รวม 10 คน ปม เลือก ผบ.ตร. โดยมิชอบ จ่อเอาผิด ม.112 เพิ่ม นำเรื่องผิดกฎหมายเสนอโปรดเกล้าฯ ด้าน ‘อนันต์ชัย’ ลั่น เปลี่ยนตัวฮ่องเต้แล้ว จะได้เห็นวีรบุรุษนาแกเดินคู่ทนายกระดูกเหล็ก ทำงานเพื่อองค์กรตำรวจอย่างแท้จริง เป็น “ดับเบิ้ลซุปเปอร์บิ๊กเซอร์ไพร์ส“

วันนี้ (5 ต.ค. 66) เวลา 11:30 น. นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อมด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เกี่ยวกับกรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. โดยมิชอบ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดเผยว่า วันนี้มายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีกับนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจรวม 10 คน กรณีการปฏิบัติหน้าที่ เสนอชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 258 ง. (4) ที่ให้ปฏิรูปตำรวจ ให้เป็นอิสระ และเกิดการประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดแก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งให้ปฏิบัติในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจโดยใช้ระบบคุณธรรม ที่แต่งตั้งโดยการพิจารณาจากความอาวุโส และความรู้ความสามารถกัน เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทำงานอย่างอิสระ

นอกจากนี้ตามมาตรา 77 พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติปี 2565 นายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้เสนอรายชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) ให้ที่ประชุม ก.ตร. พิจารณา โดยผู้มีคุณสมบัติตามรายชื่อผู้อาวุโสนั้น มี 4 คน ซึ่งถ้าหากนายเศรษฐาปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ตำรวจฯ จึงต้องเสนอชื่อ รองผบ.ตร. ผู้ที่มีความอาวุโสอันดับหนึ่ง เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเท่านั้น รวมถึง เรื่องความรู้ความสามารถด้านงานสืบสวนสอบสวนและการป้องกันและปราบปราม ก็ต้องเอาผลงานตั้งแต่ เริ่มบรรจุเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ มาให้ที่ประชุมพิจารณาแบบเป็นรูปธรรม

ฉะนั้นการเสนอชื่อพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งยึดตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้องค์กรตำรวจเป็นอิสระ ไม่มีการแทรกแซงจากทางการเมือง จนทำให้เกิดปัญหาว่าตำรวจ ไม่สามารถบริการพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่ไปมุ่งรับใช้นักการเมือง ซึ่งตนเองได้ยกตัวอย่างให้นายเศรษฐาไปหลายครั้งแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการปฏิรูปตำรวจ แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ และออก พ.ร.บ. ตำรวจฯ ซึ่งตนเองเคยอภิปรายในสภาไปแล้วว่า หากนายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นประธาน ก.ตร. ตำรวจจะถูกครอบงำโดยการเมือง

ทั้งนี้เมื่อตนเองเห็นว่านายเศรษฐา ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีเสียงเห็นด้วยก็ตาม และไม่ได้เห็นชอบ แต่เป็นผู้เสนอ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร. ก็ผิดอยู่แล้ว ตนเองที่เติบโตมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทนไม่ได้ ที่จะให้เกิดการทำลายองค์กรตำรวจ การจะไปร้องศาลก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงต้องพึ่งหน่วยงานของรัฐ คือ ป.ป.ช. ให้มารับผิดชอบในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และเร่งด่วน ไม่จำเป็นต้องรอระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด การที่ดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี หน่วยงานดังกล่าวจะต้องรีบทำ

เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องการกระทำความผิดกฎหมายที่ชัดเจนจะต้องสรุปสำนวนส่งต่อไปให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อศาลรับฟ้องจะต้องสั่งให้ผู้ที่ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำพิพากษา และเมื่อมีคำพิพากษาตัดสินว่าผิดแล้ว นอกจากจะลงโทษ ก็จะต้องมีการตัดสิทธิ์ ในการใช้สิทธิ์เลือกตั้งอีก 10 ปี

“ผมเตือนไปก่อนหน้านี้แล้วในเมื่อคุณเศรษฐาไม่เชื่อผม ยังดื้อดึง แล้วจะบอกให้ผมมีไมตรีได้ยังไง เพราะคุณเป็นคนทำลายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ“ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ใน 10 รายชื่อมีการดำเนินคดีใครบ้าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้จำรายชื่อ แต่อย่างน้อยมีนายเศรษฐา พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในวันนั้น ยกเว้น พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ คนเดียวที่ไม่เห็นด้วย และคนงดออกเสียง แต่นายเศรษฐา แม้งดออกเสียง แต่เป็นผู้เสนอชื่อก็ผิดเพราะเป็นต้นเหตุ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ย้ำว่าการออกมาในครั้งนี้ เพื่อปกป้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ปกป้องบุคคลใด เพราะผู้มีความอาวุโสลำดับที่ 1 ก็เงียบไม่มีการต่อสู้อะไรเลย แล้วจะเป็นทำไม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหากตนเองเป็นนายกจะตั้ง พล.ต.อ.รอย เป็น ผบ.ตร. เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสงบ แต่นี่กลับเลือกที่จะเสี่ยงก็ต้องไปเสี่ยงเอา

ส่วนเรื่องความวุ่นวายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า มาจากการเมือง เกิดมาจากนายกรัฐมนตรี ตนเองจึงบอกว่านายกรัฐมนตรีไม่ควรที่จะเข้ามายุ่งกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะนายกรัฐมนตรีมีหลายเรื่องที่จะต้องไปบริหารจัดการ เช่น เรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน อีกทั้งตัวเองก็ไม่มีความรู้เรื่องตำรวจจึงมองว่าไม่เหมาะสม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้จะกระทบถึงพรรคเสรีรวมไทยหรือไม่ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ไม่กระทบ เพราะตนเองลาออกจากการเป็น สส. ถ้าตนเองยังเป็นอยู่จะออกมาทำแบบนี้ได้อย่างไร เพราะจะต้องทนอึดอัดกับการทำงานร่วมกับรัฐบาลที่ผิดกฎหมายแบบนี้หรือ จึงได้ตัดสินใจลาออกมา

ส่วนที่ทนายอนันต์ชัย ได้รับสายจากบุคคลที่ห้ามไม่ให้ออกสื่อพูดเรื่องนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตอบว่า “อนันต์ชัย ไม่ใช่เสรีพิศุทธ์ อนันต์ชัยเป็นวีรบุรุษ หรือ อนันต์ชัยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเท่ากับเสรีพิศุทธ์หรือ“ ส่วนเรื่องที่ทนายอนันต์ชัยถูกสั่งห้ามพูดออกสื่อนั้น เรื่องนี้ตนเองไม่ทราบ เห็นแค่ตามข่าว ไม่มีเวลาใส่ใจ ถ้าเป็นคนของรัฐบาลโทรมาสั่งก็ขอให้ทนายดำเนินการไปทั้งหมด ส่วนจะพูดอะไรถึงบุคคลดังกล่าวนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า คนพวกนี้ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง จะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน ถ้าพวกคุณไม่ได้ประโยชน์ก็ต้องวางตัวให้เป็นกลางอย่าไปเข้าข้างพวกที่กระทำความผิด จะทำให้บ้านเมืองมีปัญหา และจะต้องไปดูว่าคนที่โทรนั้นเป็นใคร ถ้าขู่ก็จะต้องไปจัดการทางกฎหมาย

ด้านทนายอนันต์ชัย ระบุว่า หนังสือที่นำมายื่นวันนี้ ทีมกฎหมายร่างข้อมูลมา 4-5 วัน สำหรับการยื่นเรื่องป.ป.ช.เพื่อเอาผิดนายกรัฐมนตรี และ ก.ตร.รวม 10 คน ที่เกี่ยวข้องกับการเลือก ผบ.ตร. ไม่ชอบด้วยกฎหมายยกเว้น พล.ต.อ. ประทิน สันติประภพ หลังจากนั้นก็จะมีการร้องตามความผิดมาตรา 112 นำเรื่องผิดกฎหมายเสนอโปรดเกล้าฯ

นอกจากนี้ ในการลงมติเลือก ผบ.ตร. ยังมีนายตำรวจสองคน คือ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร.และนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาไทย มีส่วนในการตรวจสอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผิด พ.ร.บ.ปฏิบัติราชการปกครองมาตรา 13 และ 16 เนื่องจากคนมีส่วนได้เสียไม่สามารถมีมติใน ก.ตร.ได้ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ที่มีอายุราชการอาวุโสอันดับที่หนึ่ง ส่วนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อาวุโสอันดับที่สองไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการโหวตมติครั้งนี้เลย

พร้อมย้ำว่าฮ่องเต้ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสรีพิศุทธ์ และทนายอนันตชัย ซึ่งตอนนี้ ทนายกระดูกเหล็กและวีรบุรุษนาแก จะเดินคู่กัน ทำงานเพื่อองค์กรตำรวจอย่างแท้จริง เป็นดับเบิ้ลซุปเปอร์บิ๊กเซอร์ไพร์ส