บีโอไอ อนุมัติการลงทุนกว่า 5 หมื่นล้าน เสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงาน-ดิจิทัล
บอร์ดบีโอไอ ประกาศอนุมัติโครงการลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งในด้านพลังงานและดิจิทัล พร้อมเผยบริษัทต่างชาติเลือกใช้ไทย เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศจากมาตรการใหม่ พร้อมตั้งคณะทำงานบูรณาการ 4 หน่วยงานอำนวยความสะดวกนักลงทุน และขยายขอบเขต LTR Visa ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และความเชี่ยวชาญพิเศษ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า “การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 56,615 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐาน ในด้านพลังงานของประเทศ เช่น โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าเงินลงทุน 32,710 ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าระบบ Cogeneration ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทย และสิงคโปร์ มูลค่าเงินลงทุน 5,005 ล้านบาท”
นอกจากนี้เพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับบริการด้านการจัดการ และจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กร ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการใช้งานแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้การส่งเสริม กิจการดาต้า เซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่ 2 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 10,371 ล้านบาท โดยหนึ่งในนั้นเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นกิจการดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและจะใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลด Carbon Footprint ด้วย
ที่ประชุมยังได้อนุมัติ ให้การส่งเสริมโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น โครงการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โครงการผลิตโลหะทองคำและเงินภายใต้รูปแบบโลหะผสม และโครงการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท
“จะเห็นได้ว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในครั้งนี้ เป็นโครงการที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งพลังงาน และดิจิทัล รวมทั้งกิจการสนับสนุภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูด การลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการโยกย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เพื่อให้เป็นฐานธุรกิจหลักในภูมิภาค อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพ ในการเป็นดิจิทัลฮับของประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัท อเมซอน เว็บ เซอร์วิส (AWS) ได้ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในไทย ด้วยเงินลงทุนที่สูงถึง 1.9 แสนล้านบาท ในระยะ 15 ปี”
นอกจากนี้ 4 หน่วยงาน ได้จับมือพัฒนากลไกการอำนวยความสะดวก เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ และประตูการค้าการลงทุนในภูมิภาค โดยตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บีโอไอ ร่วมกับกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เปิดให้บริการระบบ HQ Biz Portal ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค และระบบนัดหมายออนไลน์ รวมทั้งได้จัดตั้งทีมงานร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย
“สำนักงานภูมิภาคถือเป็นกิจการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพ สร้างโอกาสในการขยายการลงทุนของธุรกิจอื่นๆตามมา และจะเสริมสร้างความโดดเด่น ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค อีกทั้งช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสม ที่จะเร่งโหมดึงบริษัทชั้นนำให้เข้ามาตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยมากขึ้น ทั้งนี้บีโอไอได้ส่งเสริมการลงทุนกิจการ สำนักงานภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2543 มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกว่า 500 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนโครงการ ที่ได้รับการส่งเสริมสูงสุด ร้อยละ 40 รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง ตามลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม 3 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามลำดับ”
“เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้ปรับปรุงคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (Long-Term Resident Visa: LTR Visa) เพื่อให้การดึงดูดผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการรับรองคุณสมบัติมากขึ้น โดยบีโอไอได้เสนอให้เพิ่มเติม และปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อรับรองคุณสมบัติแก่ชาวต่างชาติที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ในสาขาที่ประเทศยังขาดแคลน (Highly Skilled Professional) รวม 15 สาขา ดังต่อไปนี้
1.อุตสาหกรรมยานยนต์
2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
3.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับคุณภาพ
4.อุตสาหกรรมการเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ
5.อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์
6.อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
7.อุตสาหกรรมการบิน อากาศยานและอวกาศ
8.อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
9.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
10.อุตสาหกรรมดิจิทัล
11.อุตสาหกรรมการแพทย์
12.อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ
13.อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยตรง เช่น การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
14.ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC)
15.อุตสาหกรรมอื่นๆที่ต้องทำงาน โดยใช้ทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น นักวิจัยในสาขาอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีเป้าหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบดิจิทัล การเงิน สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญในโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป รวมทั้งองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ
“การเพิ่มและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมายของ LTR Visa ในครั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และทักษะความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความสำคัญ และประเทศยังขาดแคลน โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงกลุ่มนี้ สามารถได้รับ LTR Visa เพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับบุคลากรไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุนของไทยได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันมีชาวต่างชาติ มายื่นขอ LTR Visa แล้วกว่า 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน จีน และ ยุโรป”