’มาเฟียน้ำมันเขียว’ ทำร้ายอุตสาหกรรมประมง เบียดเบียนประเทศชาติ

โครงการน้ำมันเขียว คืออะไร
รัฐบาลจัดโครงการน้ำมันเขียว ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐจัดน้ำมันดีเซลที่เติมสารสีเขียวเพื่อให้แยกแยะจากน้ำมันบนฝั่งได้ และได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบก ประมาณลิตรละ 6 บาท เพื่อลดภาระต้นทุนการทำประมงให้กับชาวประมงพาณิชย์ ตามมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2555 โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิต ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการ ปัจจุบันมีเรือสถานีบริการ (Tanker) 51 ลำ ให้บริการชาวประมงพาณิชย์ทั่วเขตทะเลไทย
แต่ปี 2558 ประเทศไทยได้รับ “ใบเหลือง” การทำประมง IUU จากสหภาพยุโรป ทำให้ต้องดำเนินการจัดระเบียบการทำประมงในประเทศใหม่ทั้งระบบ ส่งผลให้เรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับสิทธิเติมน้ำมันเขียวลดลง จาก 10,459 ลำ ในปี 2559 เหลือ 8,445 ลำ ในปี 2564 แต่กลับพบว่า ปริมาณการจำหน่ายกลับมิได้ลดลงตามสัดส่วนจำนวนเรือ โดยยังคงที่อยู่ประมาณปีละ 610 ล้านลิตร คิดเป็นภาษีที่รัฐบาลยกเว้นถึงปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเท่ากับเรือประมงพาณิชย์ทุกลำที่เติมน้ำมันเขียว ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ยกเว้นภาษีที่ควรจะเสีย ประมาณ 471,717 บาท/ลำ/ปี
หากบริหารจัดการไม่ดีต้องยกเลิกทั้งหมด เพิ่มภาระให้ชาวประมงพาณิชย์
การอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ ด้วยการยกเว้นภาษีน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 6 บาท หรือ น้ำมันเขียว เป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยชี้แจงต้องชี้แจงต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ให้ได้ว่า เป็นการอุดหนุนที่มีการบริหารจัดการอย่างเข้มงวดหรือไม่ เพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนการทำประมงแบบ IUU และการทำประมงทำลายล้างทรัพยากรสัตว์น้ำ หรือ Over Fishing ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีแนวทางบริหารจัดการที่ชัดเจน มีความเสี่ยงสูงมากที่ WTO จะประกาศให้ประเทศไทยต้องยกเลิกโครงการน้ำมันเขียวทั้งหมด
การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 จึงอนุมัติกรอบการชี้แจงกับ WTO โดยยืนยันว่า ประเทศไทยมีการกำกับดูแลที่ดี มีระบบควบคุมดูแลการสนับสนุนการทำประมงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเรือประมงที่มีสิทธิเติมน้ำมันเขียว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 จำนวน 9,445 ลำ พบว่า มีเรือที่ไม่มีคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร แต่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้ออกรหัสและรับรองให้เติมน้ำมันเขียว 791 ลำ ประกอบด้วย เรือประมงพาณิชย์ไม่มีทะเบียนเรือ เรือประมงพาณิชย์ไม่มีใบอนุญาตประมงพาณิชย์จากกรมประมง เรือประมงพาณิชย์ที่แจ้งจมหรือทำลายไปแล้ว เรือประมงพาณิชย์ที่เปลี่ยนประเภทไปเป็นเรือบรรทุกสินค้า เรือลากจูง และเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดถังน้ำมันตั้งแต่ 1,500-10,000 ลิตร ซึ่งเกินกว่าขนาดตัวเรือที่สามารถบรรทุกได้
มาเฟียน้ำมันเขียว สร้างปัญหาให้กับประเทศ และอุตสาหกรรม
เมื่อนำรายชื่อเรือพร้อมรหัสเติมน้ำมันเขียวจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ไปตรวจยืนยันกับข้อมูลการเติมน้ำมันเขียว ที่ตำรวจน้ำได้รับจากเรือสถานีบริการ (Tanker) พบว่า มีเรือประมงที่ใช้รหัสของเรือประมงที่ขาดคุณสมบัติข้างต้น ไปเติมน้ำมันเขียวจำนวนหลายลำ และยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่ามีเรือประมงอีกจำนวน 599 ลำ ใช้รหัสเติมน้ำมันไม่ตรงกับรหัสเติมน้ำมันที่ สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยออกให้และรับรองเข้ามาเติมน้ำมันเขียว ทำให้จำนวนเรือที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิดเติมน้ำมันเขียว โดยขาดคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร ซึ่งออกตามพรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีจำนวนถึง 1,390 ลำ
ล่าสุด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. บูรณาการกำลังออกปฏิบัติการร่วมกัน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าจับกุมเรือประมง ชื่อ “ช.ศรีพลนภา 5” ขนาด 122 ตันกรอส ขณะทำการประมงบริเวณทะเลอันดามัน พื้นที่รอยต่อจังหวัดพังงาและระนอง โดยให้เข้าเทียบท่าที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา หลังพบมีพฤติกรรมวนเวียนเติมน้ำมันจากเรือสถานีบริการ (Tanker) หลายลำ ในช่วงเวลาต่างๆ กัน โดยใช้รหัสเติมน้ำมันของเรือประมงที่แจ้งทำลายเรือไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม 2564
พร้อมกันนี้ ได้ขยายผลเข้าตรวจค้นเอกสารหลักฐานต่างๆ จากผู้เกี่ยวข้อง คือ เรือสถานีบริการน้ำมันเขียว บริษัทเข้าของเรือสถานีบริการน้ำมันเขียว รวมถึงสมาคมประมงที่ให้การรับรอง เพื่อดำเนินคดีตามพรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 189 “ขนถ่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องโดยไม่มีคุณสมบัติ” มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของราคาน้ำมันที่อยู่ในเรือ หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรือประมงที่ถูกจับกุม บรรทุกน้ำมันประมาณ 30,000 ลิตร และได้เติมน้ำมันเขียวโดยใช้รหัสเติมน้ำมันเขียวจากเรือประมงลำอื่นที่แจ้งกับกรมเจ้าท่าว่าถูกทำลายไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง จะต้องโดนปรับ 4,320,000 บาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิดพรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 203 ฐานนำน้ำมันที่ยังไม่เสียภาษีสรรพสามิตเข้ามาในราชอาณาจักร มีโทษปรับ 2 – 10 เท่าของภาษี จึงจะต้องเสียค่าปรับอีก 12,600,000 บาท รวมค่าปรับทั้งสองกฎหมาย รวม 16,920,000 บาท ยังไม่รวมการดำเนินคดีจากกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พรก.การประมง พ.ศ. 2558 , พรบ.เรือไทย พ.ศ. 2481
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่า จากนี้จะมีการจับกุมดำเนินคดีกับเรือประมงที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันตามมาอีกจำนวนมากในทุกจังหวัดชายทะเล ซึ่งชุดปฏิบัติการได้กำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ซึ่งนอกจากจะดำเนินคดีกับกลุ่มเรือประมงที่ไม่มีคุณสมบัติเติมน้ำมันเขียวแล้ว ในส่วนของเรือสถานีบริการ (Tanker) และสมาคมการประมงที่ให้การรับรองคุณสมบัติและออกรหัสเติมน้ำมันเขียว ก็จะถูกดำเนินคดีด้วยเช่นเดียวกัน
“ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อชาวประมงที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตแต่อย่างใด ทุกท่านยังสามารถเติมน้ำมันเขียวได้ตามปกติเหมือนเดิมทุกประการ ผมขอย้ำว่าการทำงานของผมคือการแยกน้ำเสียออกจากน้ำดี ให้คนดีมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในสังคม คนไม่ดีต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งผมมั่นใจว่า พี่น้องชาวประมง 95% เป็นคนดี หน้าที่ของผมคือ นำคนไม่ดี 5% ไม่ให้ปะปนกับคนดีและทำให้คนดีได้รับความเสียหาย การบูรณาการการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีของประเทศในภาวะที่ประชาชนกำลังได้รับความลำบาก แต่มีบางพวก บางกลุ่ม แสวงหาผลประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐดูแลสนับสนุนไป เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความเสียหายจากมูลค่าภาษีที่รัฐควรจะได้ถึงปีละ 700 ล้านบาท” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว