AROUND THAILAND

ผู้นำแรงงาน ประสานเสียง โฆษก ก.แรงงาน โต้ จ่ายเงินเยียวยาถูกต้องตาม กม.

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกลเผยแพร่คลิปการอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญกุล หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการประชุมสภาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา กล่าวพาดพิงถึงกระทรวงแรงงานว่า ต้องเปลี่ยน รมว.แรงงาน ได้แล้ว จากสาเหตุที่ใช้เงินประกันสังคมผิดวัตถุประสงค์ในการเยียวยา ว่ากระทรวงแรงงาน
ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้

ก่อนอื่นต้องกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้นมาก่อนว่ากองทุนตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉลี่ยทุกเฉลี่ยสุขให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง ยามที่เกิดภาวะวิกฤติ ได้รับความเดือดร้อนไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ซึ่งการเยียวยาให้กับผู้ประกันตนที่กระทรวงแรงงานกำลังดำเนินการมาตลอดนั้นเป็นการดำเนินการไปตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอยู่ในหมวด 8 “ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน” มาตรา 79/1 ในกรณีที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย หรือนายจ้างไม่ให้ทำงาน เนื่องจากเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ เมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน และต้องอยู่ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน ให้มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยได้ช่วยเหลือผู้ประกันตนมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นจำนวน 1,194,707 คน เป็นเงิน 16,334 ล้านบาท

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า กรณีการลดเงินสมทบ เป็นการช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายให้ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างในช่วงวิกฤติ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการลดเงินสมทบไป 5 ครั้ง ตั้งแต่ มี.ค.63 – ส.ค.64 เป็นเงิน 88,833 ล้านบาท โดยในกรณีนี้เป็นการช่วยนายจ้างลดต้นทุนการผลิตต่อลูกจ้าง 1 ราย เป็นเงิน 2,652 บาท และเป็นการลดภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตน 4,109 บาทต่อคน ซึ่งในการลดเงินสมทบนั้น สิทธิประโยชน์ยังเหมือนเดิม

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ช่วยเหลือเรื่องภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ตามโครงการ ม.33 เรารักกัน ช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นจำนวนเงิน 6,000 บาทต่อคน รวมผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการนี้เป็นจำนวน 8.14 ล้านคน เป็นจำนวนเงิน 48,834 ล้านบาท และ ครม.ยังได้พิจารณาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดฉบับที่ 25 มีผล 28 มิ.ย.64 โดยเยียวยานายจ้างและลูกจ้างใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ใน 4 ประเภทกิจการ ได้แก่ ก่อสร้าง ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ศิลปะความบันเทิงและนันทนาการ และกิจการบริการด้านอื่น ๆ โดยเยียวยานายจ้างในอัตรา 3000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (ไม่เกิน 200 คน) มีนายจ้างได้รับการเยียวยา 38,128 ราย เป็นเงิน 1,312 ล้านบาท และให้การเยียวยาลูกจ้างในอัตรา 2,000 บาทต่อคน มีลูกจ้างได้รับการเยียวยา 603,560 ราย เป็นเงิน 1,207.120 ล้านบาท รวมเงินเยียวยาทั้งสิ้น 2,519.380 ล้านบาท

“อีกประเด็นที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องกองทุนประกันสังคม คือ รัฐบาลที่ผ่านมาค้างจ่ายเงินสมทบให้ประกันสังคม เป็นจำนวนเงิน 100,299 ล้านบาท แต่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลค้างจ่ายเงินสมทบลดลงเหลือ 66647 ล้านบาท แสดงว่าในสมัยรัฐบาลท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จัดสรรเงินอุดหนุนกองทุนประกันสังคมเต็มตามจำนวนในแต่ละปี และได้ชำระเงินอุดหนุนในส่วนที่ค้างไว้สูงถึง 33,652 ล้านบาท บ่งชี้ให้เห็นว่าท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใส่ในในเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมและผู้ประกันตนทุกคน”

“การดำเนินการของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ผ่านมาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการตั้งกองทุนประกันสังคมเพื่อเฉลี่ยทุกเฉลี่ยสุข รวมทั้งแก้ไขสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติ มิได้ดำเนินการผิดวัตถุประสงค์แต่อย่างใด” นางเธียรรัตน์ กล่าว

ด้านนายมานิตย์ พรหมการีย์กุล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากที่ได้ฟังคลิปการอภิปราย อยากบอกว่า ตนเองในฐานะผู้นำแรงงานและเป็นผู้ประกันตนมาโดยตลอด ทราบดีว่าการก่อตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้นนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้กับนายจ้างลูกจ้างในยามที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม และในขณะนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ต่างเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด-19 พวกเราลูกจ้างและนายจ้างก็ควรจะมีสิทธิ์ที่เราส่งกองทุนมาใช้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ที่สำคัญการที่กระทรวงแรงงานนำเงินกองทุนมาใช้ในการเยียวยาไม่ว่าจะในเรื่องของจ่ายเงินค่าจ้างเหตุสุดวิสัย 50% หรือการลดเงินสมทบก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาทุกประการ การลดเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้กับลูกจ้างและคงสภาพคล่องให้กับนายจ้างเพื่อที่จะรักษาการจ้างงาน

“ตั้งแต่เป็นผู้ประกันตนมา ก็ยังไม่เคยเห็นรัฐบาลไหน นำเงินจากรัฐบาลมาเยียวยาถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะโครงการ ม.33 เรารักกัน เงินจำนวน 6,000 บาท สำหรับผู้ใช้แรงงานแล้วถือเป็นเงินจำนวนมาก และที่ผมทราบมา รัฐบาลชุดก่อน ๆ ค้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมจำนวนมหาศาล เพิ่งจะมีรัฐบาลชุดนี้ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคม ฉะนั้นผมในฐานะผู้ใช้แรงงาน เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำเนินการใช้เงินกองทุนประกันสังคมบรรลุวัตถุประสงค์และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างถูกต้องแล้ว การที่ ส.ส.พูดในสภา เป็นการหาเสียง หาประโยชน์ทางการเมือง ได้แต่พูดในสภา ไม่มีการศึกษากฎหมาย ไม่มีความจริงใจต่อผู้ใช้แรงงานทั้งนายจ้างและลูกจ้าง”

“ผมมองว่าสถานการณ์ของประเทศเช่นนี้ เราต้องมีความรัก ความสามัคคีกัน มากกว่ามาโจมตีคนที่เขาตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง” นายมานิตย์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend