POLITICS

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับคดีที่มีผู้ฟ้อง ‘กกต.’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รับคดีที่มีผู้ฟ้อง ‘กกต.’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ กรณีจัดการเลือกตั้ง และส่งคดี ‘พิธา’ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำพิพากษา 8 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 เวลา 16.20 น. นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ยื่นฟ้องนายอิทธิพร บุญประคอง จำเลยที่ 1 กับพวก รวม 7 คน ว่า โจทก์เป็นหนึ่งในจำนวนคนไทย หลายหมื่นคนที่ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชี รายชื่อ เขต 8 มีนบุรี กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศที่เลือกผู้สมัครและพรรคก้าวไกลรวมมากกว่า 14 ล้านคน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และได้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ซึ่งมีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทย คนต่อไป โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการการเลือกตั้ง ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการ การเลือกตั้ง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายฉบับ มีหน้าที่กำกับดูแลงานในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงจำเลยที่ 2 -7 พบว่า

ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2566 ต่อเนื่องถึงวันที่ 13 กรกฎาคม เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้ง 7 ได้บังอาจกระทำผิดเป็นเจ้าพนักงาน ของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา โดยจำเลยที่ 1 เป็น ผู้ลงนามในประกาศดังกล่าว กำหนดวันรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ แบบบัญชีรายชื่อ ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจำเลยทั้ง 7 โดยทุจริต เจตนาร่วมกัน แบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ออกแบบบัตรเลือกตั้ง ทั้งการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขต เลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อให้แตกต่างจากการเลือกตั้งหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเลือกตั้ง เกินกว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 7 ล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสน วุ่นวาย รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่างๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะ การเลือกตั้งและได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2

จำเลยทั้ง 7 ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนนิยมฝ่ายรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน โดยก่อน ขณะ หรือหลังรับสมัคร รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค การเมือง จำเลยทั้ง 7 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนว่าผู้ใดไม่มีคุณสมบัติ และ/หรือ ขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้ง 7 หาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของพวกตนไม่ จนปล่อยล่วงเลยมาจนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป คือวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่ง มายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้ง 7 กล่าวหาว่านาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อไอทีวี จำนวนเพียงประมาณ 42,000 หุ้น ในจำนวนหลายล้านหุ้น จึงอาจหรือขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

และต่อมา มีผู้ยื่น ข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จําเลยก็ไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย โดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้ง 7 ก็ทราบดีว่าคล้ายกับกรณี ของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎร จังหวัด นครนายก ที่ถูกพวกจําเลยทั้ง 7 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ศาลฎีกา มีคําสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ลต.สสข.๙/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ลต.สสข.๒๔/๒๕๖๖ คืนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้แก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดนครนายก กรณีถูกกล่าวหา ว่านายชาญชัย ถือหุ้นสื่อเพียงประมาณ 200 หุ้นในจำนวนหลายล้านหุ้น ทั้งโจทก์ได้ส่งหนังสือคัดค้าน และชี้แจงให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 จำเลยทั้ง 7 ได้มีหนังสือด่วน ที่สุดไปถึงนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และผู้เกี่ยวข้อง แจ้งคำสั่งศาลฎีกาคืนสิทธิให้แก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ดังกล่าว ทั้งนายพิธาเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 ปี หรือ 1 สมัย จนครบวาระ

ครั้งนี้เป็นการสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ของนายพิธา การกระทำของจำเลยทั้ง 7 ดังกล่าวข้างต้นที่ไม่รีบดำเนินการสืบสวน ไต่สวน วินิจฉัย หรือส่งศาลฎีกา มีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไป ตามกฎหมาย กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกร้องเรียนดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์หรือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับ ความเสียหาย เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ต่อเนื่องกันถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 จําเลยทั้ง 7 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนาร่วมกัน

ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำเลยทั้ง 7 มีพฤติการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัย หลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งได้ช้ากว่าที่ควร จำเลยทั้ง 7 ปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือ จากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัยแต่อย่างใด โดยผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งมากกว่าสิบสี่ล้านคนรวมทั้งโจทก์ด้วยเลือกพรรคก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลได้สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรมากเป็นอันดับหนึ่งคือได้จำนวน 151 คน โดยโจทก์และผู้ลงคะแนนเสียงเลือกนายพิธา และ พรรคก้าวไกลเหตุเพราะเห็นว่านายพิธา เป็นคนมีความรู้ความสามารถสูงเหมาะสมที่จะเป็น นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังจะให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและนายพิธาเป็น นายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่จำเลยทั้ง 7 โดยทุจริต เจตนาร่วมกัน กลั่นแกล้งนายพิธา ด้วยการประชุม วินิจฉัย ลงมติ หรือมีความเห็นร่วมกันส่งเรื่องที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้นสื่อไอทีวี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลการเมือง อย่างเร่งรีบ เพื่อให้วินิจฉัยว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่มีคุณสมบัติ และ/หรือ ขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะถือหุ้นสื่อ

และขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยจําเลยทั้ง 7 มิได้ ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน ตามอำนาจหน้าที่ หรือตามขั้นตอน ของกฎหมายแต่อย่างใด อันเป็นการดำเนินการก่อนหรือขณะวันโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็น นายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ต่อสมาชิกรัฐสภา ทั้งที่นายพิธา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจนครบหนึ่งสมัยหรือสี่ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ทําให้บุคคลอื่นคือโจทก์ และ/หรือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คําสั่งให้ร้บคดีไว้เพื่อตรวจฟ้อง ให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา วันที่ 8 สิงหาคม 2566 เวลา 09.30 น.

Related Posts

Send this to a friend