POLITICS

‘พิธา’ อภิปรายก่อนโหวตเลือกนายกฯ ขอ ส.ว. – ส.ส. หาข้อยุติร่วมกัน

วันนี้ (13 ก.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อภิปรายก่อนการเริ่มโหวตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

“ผ่านมากกว่าสองเดือนแล้วพี่น้องประชาชนได้เห็นวิสัยทัศน์ของผมผ่านการดีเบตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้องดี เศรษฐกิจดี เป้าหมายในการทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามประเทศที่มีรายได้ปานกลางมากกว่า 35 ปี ทำให้เศรษฐกิจโต และลดความเหลื่อมล้ำในเวลาเดียวกัน การเมืองดี การแก้ไขธรรมนูญ การต่อสู้คอรัปชั่น การปฏิรูประบบราชการ ทำให้มีอนาคต การปฏิรูปเรื่องการศึกษา ทำอย่างไรให้ดีขึ้น คืนครูให้ห้องเรียนเปลี่ยนจากเรียนมากได้น้อย เป็นเรียนเน้นได้มาก”

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตอนนี้เป็นการสื่อสารคนที่อยู่ในสภา 750 คน โดยต้องสื่อสารกับสมาชิกวุฒิสภา หลังจากได้ฟังการอภิปราย และทำงานร่วมกันมา 4 ปี เราไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ การทำงานร่วมกันของพวกเราในครั้งแรก เป็นการพูดคุยถึงวิสัยทัศน์ในการเกษตร กระดุมห้าเม็ด ผ่านการประชุมรัฐสภาร่วมในการแถลงนโยบายเมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งมีหลายท่านมาบอกว่า มีการนำเทคโนโลยีมาทำให้ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้นก็เป็นความเห็นที่ตรงกัน

“ที่ผ่านมาเรื่อง แม้เรื่องเสนอการแก้ไขมาตรา 272 ก็ยังจำได้ว่ามี ส.ว. ลุกขึ้นอภิปรายเพื่อปิดสวิตซ์ตัวเองถึง 63 คน แต่ตอนนี้ งดออกเสียงเพื่อไปช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าจะทำให้นายกรัฐมนตรีไปต่อได้ การงดออกเสียงไม่ถือว่าเป็นการปิดสวิตซ์”

นายพิธา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเรามีอะไรเหมือนกัน ความแตกต่างที่เราเห็นต่างกันในหลายเรื่อง ถ้ามานึกถึงตอนนี้เรามีอะไรที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่เราต่างกัน สิ่งที่ผ่านมาวันนี้ เป็นประตูแห่งโอกาสที่เราจะสามารถทำงานร่วมกันภายใต้รัฐบาลชุดต่อไป ในการแก้ปัญหาที่ต้องการจะแก้มาตลอด และความท้าทายใหม่ ๆ ที่กำลังมาสู่ประเทศไทย

“เข้าใจว่าทุกท่านมีความแคลงใจในตัวผม ทั้งเรื่องเกี่ยวกับนโยบาย จุดยืนเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จากที่ฟังดูแล้ว เป้าหมายของพวกเราทั้งสภาเหมือนกัน เพียงแต่วิธีในการประเมิน และวิธีเข้าถึงเป้าหมายนั้นต่างกัน ในมุมมองของผมการที่ทำให้เป้าหมายนั้น คือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่กับประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต้องไม่อนุญาตให้ใครใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการโจมตีกันทางการเมือง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ขอเสนอตัวเองเป็นฉันทามติใหม่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้นย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้ายเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้เป็นจุดลงตัว ที่ไม่มีใครได้ และเสียทั้งหมด เช่นเดียวกับการที่เราพูดคุยกันในวันนี้ มีการยอมรับร่วมกัน แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่องแต่จะไปถึงจุดนั้นได้ต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา รวมถึงความคิดทางการเมือง และนี่คือก้าวที่สำคัญ ของสังคมไทยในการสร้างฉันทามติใหม่ที่เป็นเรื่องของกระบวนการในการจัดการความขัดแย้งด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตย ฉันทามติใหม่ไม่ได้แปลว่าทุกคนในสังคมต้องคิดเหมือนกัน เพราะเป็นไปไม่ได้แต่สิ่งที่เรากำลังจะสร้างร่วมกันคือการเย็บถึงกระบวนการที่เป็นธรรมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญสำคัญของสังคม

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปกองทัพ การยกเลิก การผูกขาดทางเศรษฐกิจ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การสร้างสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 และอื่น ๆ มาหาข้อยุติร่วมกัน โดยใช้กระบวนการในสภา หรือกลไกทางประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่ประทะกันบนท้องถนน ต้องบริหารจัดการความเห็นต่างมาให้กลายเป็นความขัดแย้งด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่จะลงมติกันต่อไปนี้ไม่ใช่เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่การลงมติเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกยืนยันหลักการประชาธิปไตยในระบบกลไกการตัดสินใจร่วมของสังคม ไม่ใช่การเลือกผมหรือพรรค แต่เป็นการเลือกให้โอกาสกับประเทศไทย คืนความปกติให้กับการเมืองไทย ให้ฉันทามติที่ประชาชนเลือกมาผมไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องอาศัยการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภา ที่ยึดหลักการกล้าหาญ และเห็นแก่อนาคตของชาติ ที่มีประชาชนเป็นหัวใจ

“ขอเชิญชวนทุกท่าน อย่าให้ความคลางแคลงใจที่มีต่อผมขวางกั้นประเทศไทยไม่ให้เดินต่อทำเสียงและเจตนารมณ์อันแรงกล้าของประชาชนขอให้การตัดสินใจสะท้อน ไม่ความหวังของประชาชนและตัวท่านเองอยากให้สะท้อนให้ความกลัว”

Related Posts

Send this to a friend