นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปี 2539 ชาวบ้านบางกลอยถูกโยกย้ายมาอยู่ข้างล่าง แต่ชาวบ้านอยู่กันไม่ได้จึงย้ายกลับขึ้นข้างบนจนกระทั่งเกิดยุทธการตะนาวศรี เผาบ้านชาวบ้านจนเกลี้ยง และต่อสู้ในศาลกันมาหลายปี สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าบ้านบางกลอยเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม และการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ใช้อำนาจเกินความจำเป็น ไม่ปฎิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการใช้อำนาจของพนักงาน ไม่ปฎิบัติตามมติ ครม.3 สิงหาคม 2553 และให้ยุติการจับกุม
“เมื่อเป็นท้องถิ่นดั้งเดิม ชาวบ้านก็มีสิทธิกลับไปได้ การบังคับย้ายเขาจึงผิดกฎหมาย ฝากหน่วยงานราชการว่าคำสั่งศาลปกครองออกมาแล้ว ชาวบ้านเขาทำถูกกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐต่างหากที่ทำผิดกฎหมาย” นายสุรพงษ์ กล่าว
นางสุนี ไชยรส กล่าวว่า การบังคับให้ปู่คออี้และชาวบ้านบางกลอยลงมาอยู่ข้างล่าง ไม่ใช่แค่เกิดปัญหาที่ดิน แต่ยังมีเรื่องบิลลี่หรือนายพอลละจี รักจงเจริญ หลานชายปู่คออี้ถูกคับให้สูญหาย แต่จนบัดนี้ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ อยากเสนอว่า เราต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ต้องดำเนินการกับคนที่บังคับชาวบ้านให้อพยพลงมา และชาวบ้านควรมีสิทธิเต็มที่ในการกลับไปอยู่ใจแผ่นดิน รัฐควรกลับไปสู่การปฎิบัติตามมติ ครม. สิงหาคม 2553 ขณะเดียวกันรัฐบาลควรทบทวนนโยบายเรื่องการจัดการป่า
นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ กล่าวว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเรื้อรังและโยงใยหลายเรื่อง เวลามีปัญหาลักษณะนี้สังคมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ บางครั้งมีอคติเหมารวม ภาพชาติพันธุ์เป็นภาพจำและเหมารวมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 30-40 ปีเช่น การทำลายป่า การค้ายาเสพติด ดังนั้นจึงต้องต่อสู้เพื่อลดอคตินี้ กรณีที่เกิดขึ้นที่บางกลอยปะทุขึ้นในสถานการณ์โควิด โดยโควิดเป็นตัวเปิดแผลปัญหาเรื้อรังในสังคม ถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นโอกาส เดิมวิถีชีวิตชาวบางกลอยไม่ได้เสี่ยงกับโรคเหล่านี้ กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ค่อยมีโรคระบาดใหญ่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาอ่อนด้วยเพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อมีเชื้อโรคจึงติดง่าย