HEALTH

เผยผลวิจัยวัณโรคในเชียงราย พบสายพันธุ์ Lineage 2 ติดง่ายและดื้อยา

วันนี้ (24 มี.ค. 66) เนื่องในวันที่ 24 มีนาคมของทุกปี เป็นวันวัณโรคโลก World TB day กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับญี่ปุ่น และศูนย์วิจัยจีโนมจุลินทรีย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมทำงานวิจัยในจังหวัดเชียงราย โดยการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อวัณโรคที่ระบาด พบสายพันธุ์ Lineage 2 (สายพันธุ์ปักกิ่ง) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความสามารถ ในการแพร่ระบาดสูงและมักดื้อยา และผู้ป่วยที่พบร้อยละ 20-40 มีประวัติเคยต้องขัง ทั้งนี้ตั้งเป้าปี 2566 ถอดรหัสพันธุกรรมวัณโรค 700 ราย หวังใช้ข้อมูลพันธุกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม และยุติวัณโรค พร้อมกันนี้รณรงค์การตรวจคัดกรอง กลุ่มผู้ต้องขังภายหลังที่ออกจากทัณฑสถาน เพื่อให้ตรวจพบวัณโรคได้รวดเร็ว ลดโอกาสเสียชีวิตจากวัณโรค

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า “ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติญี่ปุ่น (National Institute of Infectious Diseases, Japan), มหาวิทยาลัยโตเกียว (The University of Tokyo) และศูนย์วิจัยจีโนมจุลินทรีย์ (CENMIG) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยพบเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ Lineage 2 (สายพันธุ์ปักกิ่ง) ซึ่งพบการระบาดในภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออก,ยุโรปตะวันออก, แอฟริกาใต้ และมีการกระจายหลายวงระบาด ในภาคเหนือของประเทศไทย”

“ทั้งนี้ทีมวิจัยได้มีการเก็บข้อมูลพันธุกรรม ของเชื้อวัณโรคเป็นระยะเวลาตั้งแต่ ปี 2560-2563 ในจังหวัดเชียงราย พบว่า มีเชื้อวัณโรคที่สามารถเพาะเชื้อขึ้น และสกัดสารพันธุกรรมมาตรวจหาสายพันธุ์ ด้วยวิธีถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (whole genome sequencing) จำนวน 592 ตัวอย่าง สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อวัณโรคได้ 4 สายพันธุ์ คือ Lineage 1-4 โดยพบเป็นสายพันธุ์ Lineage 1 (สายพันธุ์อินเดีย) มากที่สุด คือร้อยละ 45.8 ตามด้วยสายพันธุ์ Lineage 2 (สายพันธุ์ปักกิ่ง) พบร้อยละ 39.9 ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของประเทศไทย ที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ของเชื้อวัณโรคในประเทศสูง เนื่องจากมีการเชื่อมโยงของผู้คน เชื้อวัณโรคมาจากทั้งสายพันธุ์ของเชื้อวัณโรคในแถบมหาสมุทรอินเดีย และจากสายพันธุ์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่เมื่อทำการวิเคราะห์ เฉพาะการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน (cluster analysis)”

จากข้อมูลพันธุกรรมของเชื้อวัณโรค พบเป็นสายพันธุ์ Lineage 2 มากถึงร้อยละ 46.2 ซึ่งสายพันธุ์นี้มีความสามารถในการแพร่ระบาดสูงและมักดื้อยา นอกจากนั้นยังพบการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ คือมีผู้ป่วยวัณโรค 10 คนขึ้นไป จำนวน 4 การระบาด โดยร้อยละ 20 -40 ของผู้ป่วยมีประวัติเคยเป็นผู้ต้องขัง ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสถิติ อย่างมีนัยสำคัญกับการระบาด มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติเป็นผู้ต้องขัง ประมาณ 4 เท่า โดยบางรายมีอาการของวัณโรค หลังจากเคยต้องขังผ่านมาถึง 10 ปี

“ปัจจุบันประเทศไทยดำเนินการค้นหาผู้ป่วยวัณโรค และผู้สัมผัสวัณโรค เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาวัณโรคและวัณโรคแฝง ดังนั้นเครือข่ายต่างๆ หากประเมินแล้วมีผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงกลุ่มนี้ เช่น กลุ่มผู้ต้องขัง ควรมีการตรวจคัดกรองวัณโรค และการตรวจวัณโรคแฝง ภายหลังจากออกจากทัณฑสถาน เพื่อให้ตรวจพบวัณโรคได้รวดเร็ว ลดโอกาสเสียชีวิตจากวัณโรค เกิดการควบคุมวัณโรคแบบครบวงจรในกรณีระบาด โดยย้ำว่าการป้องกันวัณโรคที่ดีที่สุด คือการหาผู้ป่วยวัณโรคให้เจอเร็ว และรักษาให้ครบถ้วน เพื่อลดการแพร่เชื้อ”

“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินงานการถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งจีโนมของเชื้อวัณโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติในการยุติวัณโรค โดยปี 2566 มีเป้าหมายในการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อวัณโรค จำนวน 700 ตัวอย่าง โดยคาดหวังว่าจะสามารถขยาย การใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมของเชื้อวัณโรค เพื่อนำไประบุวงระบาดและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการสอบสวนและควบคุมโรคในพื้นที่อื่นเพิ่มเติมได้

Related Posts

Send this to a friend