CRIME

ศาลยกฟ้อง ‘ศุภชัย’ กับพวก สหกรณ์เครดิต ยูเนี่ยนคลองจั่น ลุ้นอัยการอุทธรณ์


วันนี้ (30 มิ.ย. 64) ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงสหกรณ์ฯยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด หมายเลขดำ อ.3339/2559 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 64 ปี อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจำกัด ตั้งแต่ปี2551-2554 กับพวกรวม12 คนเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชน  และความผิดอื่น  

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดพวกจำเลยสรุปว่า  เมื่อระหว่างเดือน ม.ค. 51-ธ.ค.55 พวกจำเลยร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นหรือประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้ แจ้งแก่ประชาชน  ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นขั้นตอน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ และร่วมรู้เห็นการกระทำผิดต่างๆ ร่วมกัน โดยเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองและผู้อื่น 

โดยพวกจำเลยได้บังอาจร่วมกันจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่าง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด(ผู้ให้กู้)  กับ สมาชิกสมทบ (ผู้กู้)  ซึ่งเป็นนิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ได้ถือหุ้นในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวน 28 ราย รวมเป็นเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน จำนวนทั้งสิ้น 11,858,440,000 บาท โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง และร่วมกันทำการบันทึกรายการทางการเงิน อันเป็นเท็จ ในการบันทึกรายการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ สมาชิกสมทบ โดยไม่มีการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษสมาชิก สมทบจริง และบันทึกจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ โดยไม่มีการจ่ายเงินที่กู้ยืมออกจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด จริง 

ทั้งยังร่วมกันจัดทำใบสำคัญรับชำระเงินลูกหนี้ทดรองจ่ายให้แก่นายศุภชัยจำเลยที่ 1  อันเป็นเท็จ และร่วมกันจัดทำใบสำคัญจ่ายเงินจำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ ร่วมกันทำการบันทึกรายการเกี่ยวกับการจ่ายเงินสดให้ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ ทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมเงินและการจ่ายเงินจริง 

โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จดังกล่าวข้างต้น เพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินทดรองจ่ายที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ระเบียบของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด หรือนำมาปรับโครงสร้างหนี้และเพื่อตกแต่งบัญชีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ให้ปรากฏเป็นเท็จว่า สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด มีผลการประกอบกิจการ ที่มีผลกำไรสุทธิ โดยทำให้ปรากฏ ในงบการเงิน และงบดุล ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด โดยนำงบกำไรสุทธิไปแสดงในรายงานประจำปีพ.ศ.2552-  พ.ศ.2555 ทั้งที่ความจริงแล้ว การดำเนินการของสหกรณ์เครดิตฯ มีผลประกอบการขาดทุนจำนวนมากตลอดมา 

เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น  เขตบางกะปิ  กรุงเทพมหานคร และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 341, 343 และให้พวกจำเลยทั้งหมดร่วมกัน คืนเงินให้แก่ผู้เสียหายแต่ละรายจำนวน  2,254 รายด้วย

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานว่าสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเห็นว่า จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เคยถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ของศาลอาญา ในความผิดฉ้อโกงประชาชนเช่นเดียวกันกับคดีนี้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องเหมือนกันว่า สหกรณ์ฯมีนายศุภชัยในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานฯ ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และยังร่วมกันบันทึกรายงานทางการเงินอันเป็นเท็จ รวมทั้งทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จเพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของสหกรณ์ฯ ซึ่งเหตุกระทำความผิดเกิดขึ้นระหว่าง ปี2552-2556 โดย คดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อปี2563 ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่1คดีนี้ ซึ่งเป็นการอ้างกระทำความผิดในคราวเดียวกันกับ 2 คดี ที่ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่1 ในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว โดยสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตาม ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.39(4) 

สำหรับจำเลยที่ 2-12 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลย2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1  กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลเห็นว่า ในส่วนของพยานซึ่งเป็นพนักงานของสหกรณ์โจทก์ร่วมได้เบิกความเพียวโครงส่รางและขั้นตอนการทำงานของโจทก์ร่วมเท่านั้น ขณะที่พยานกลุ่มอื่นที่โจทก์ร่วมนำมาสืบก็ไม่ได้นำสืบถึงการกระทำของจำเลยที่ 2-12 ว่ากระทำการร่วมกับจำเลยที่1 ในการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2-12 ร่วมกับจำเลยที่1 ฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง

ส่วนความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ,3 ,7 ,11 ว่า ร่วมกันเอาเงินของสหกรณ์ฯโจทก์ร่วม ไปประมาณหมื่นล้านบาทเศษ โดยใช้วิธีร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของสหกรณ์ฯแล้วนำไปเบิกโดยทุจริต และจำเลยทั้ง 4 จัดทำเอกสารทางการเงินเพื่อไม่ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ฯตรวจพบพิรุธ ซึ่งกระทำผิดในช่วงเดือน ม.ค.52 – พ.ค.55 ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ที่ถูกฟ้องนั้นก็ได้ถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งระยะเวลาการกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นระยะเวลาที่ทับซ้อนกันและยังบรรยายฟ้องเกี่ยวกับพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีของสหกรณ์ฯ เพื่อปกปิดการทุจริต และนำเอาเงินของสหกรณ์ฯไป 

กรณีนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ซ้ำกัน เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดที่ฟ้องใหม่เป็นฐานร่วมกันลักทรัพย์เท่านั้นการกระทำความผิดคราวเดียวกันควรได้รับโทษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อศาลได้วินิจฉัยพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนไปแล้ว จึงไม่วินิจฉัยความผิดดังกล่าวให้ซ้ำซ้อนกันอีก จึงพิพากษายกฟ้อง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อไป 

สำหรับรายชื่อจำเลย ทั้ง 12 คน ประกอบด้วย  นายศุภชัย  ,นายมณฑล กันล้อม จำเลยที่ 2 อดีตประธานกรรมการสหกรณ์ปี 55 ,นายลภัส โสมคำ จำเลยที่ 3 อดีตคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ปี51-53 ,นางทองพิน กันล้อม จำเลยที่4 อดีตคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ปี51 , นายณัฐวัฒน์ ปิยพัชร์เมธีจำเลยที่5 อดีตผู้จัดการสหกรณ์ฯปี 52-53,นายอารีย์ แย้มบุญยิ่ง  จำเลยที่ 6 อดีตผู้จัดการสหกรณ์ ปี 54 – 55 น.ส.ศรัณยา มานหมัด จำเลยที่ 7 อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฯปี 52-55 ,น.ส.วาริศา เอกชัยจินดาวัฒน์จำเลยที่ 8 อดีตเลขานุการ ของ นายศุภชัย  ,นางจันทร์ฉาย ขันธะหัตถ์ จำเลยที่ 9 อดีตเจ้าหน้าที่การเงินฝ่ายสหกรณ์ฯ ,นายธนากร น่าบัณฑิต จำเลยที่ 10 อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสหกรณฯ ,นายกฤษฎา มีบุญมาก จำเลยที่11 อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสหกรณฯ  ,นางวันเพ็ญ ยอดดี จำเลยที่ 12 อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินสหกรณ์

สำหรับคดีที่มีการฟ้องนายศุภชัย กับพวกเกี่ยวกับการยักยอกเเละฉ้อโกง สหกรณ์ฯคลองจั่น นั้นก่อนหน้านี้ ศาลมีคำพิพากษาจำคุกนายศุภชัยไปก่อนหน้านี้หลายสำนวน โดยมีสำนวนที่ถึงที่สิ้นสุดเเล้วด้วย

Related Posts

Send this to a friend