จาตุรนต์ – ทวี – พริษฐ์ ร่วมชูนิ้วก้อยสัญญาร่วมกันผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เน้นการมีส่วนร่วม
วันนี้ (8 ก.ค. 66) เวลา 15:00 น. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ร่วมกล่าวปาฐกถา ในงาน “ออกจากกะลาไปหารัฐธรรมนูญใหม่”
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เราต้องแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ เพราะจะล้าหลังไปเรื่อยๆเดินหน้าไม่ได้ การแก้รัฐธรรมนูญจะช่วยแก้ปัญหาของประเทศในหลายๆเรื่องได้ หากไม่แก้รัฐธรรมนูญจะไม่มีอนาคตสำหรับคนปัจจุบัน และคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ปัญหาต่อมาคือจะแก้ไขได้อย่างไร มีคนบอกให้พรรคการเมืองไปหารือกันในสภาฯ ซึ่งตนเข้าใจว่าจะไม่เกิดขึ้นแบบนั้น เพราะระบบนี้ออกแบบให้แก้ไขยากมากจนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องใช้เสียงของ ส.ว. และฝ่ายค้าน ร่วมด้วย “การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่กระบวนที่พรรคการเมืองจะเสนอสาระสำคัญเป็นส่วนใหญ่ เพราะจะเกิดปัญหาอุปสรรคว่าเป็นการแก้ไขเพื่อนักการเมืองเอง แต่หากมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จากการเลือกตั้งของประชาชน การแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้จริง”
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เราต้องให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยผนึกกำลังกันตั้งรัฐบาลให้ได้ แต่อีกเรื่องที่สำคัญคือการแก้รัฐธรรมนูญ เราต้องอาศัยพลังประชาธิปไตยทั้งหมดหากจะแก้รัฐธรรมนูญด้วยเงื่อนไขที่ยากแบบนี้ เพราะไม่มีทางที่จะเสนอด้วยเหตุผลแล้วส.ว. 84 คน จะบอกว่าจะสนับสนุน มันไม่ง่ายแบบนั้น แต่จะเกิดขึ้นได้จากกระแสสังคม ฉะนั้น การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้พรรคการเมือง และองค์กรประชาธิปไตย ต้องร่วมกับประชาชนให้รณรงค์แก้รัฐธรรมนูญโดยให้มี สสร. โดยที่ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติ ปัญหาคือพ.ร.บ.ประชามติ บอกว่าผู้มาใช้สิทธิต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ ซึ่งพ.ร.บ.ประชามติแบบนี้ถือว่ามีปัญหา เป็นกับดักที่เขาวางไว้ ดังนั้น เรื่องใหญ่คือจะให้ผ่านประชามติตั้ง สสร.ได้อย่างไร
“เราต้องผนึกกำลังกันให้มาก กระทบกระทั่งแข่งขันกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่สุดท้ายถ้าเราแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ แม้จะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ เช่น การยุบพรรค หรือการปลดจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน” นายจาตุรนต์ กล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า การมีรัฐธรรมนูญใหม่ เราต้องใช้รัฐสภาชุดที่ 26 ซึ่งต้องมีส.ว. 1 ใน 3 จำนวน 60 กว่าคน เข้ามาร่วมแก้รัฐธรรมนูญ โดยในช่วงที่ผ่านมา มีบุคคลต่างๆ พยายามยื่นเสนอแก้รัฐธรรมนูญกว่า 22 ครั้ง บางครั้งก็มีการยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ใน 22 ครั้ง จะไม่ผ่านสมาชิกวุฒิสภา มีเพียงครั้งเดียวคือการแก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง ไม่ได้แก้เพื่อประชาชน
พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า เราเหลือเวลาอีก 10 เดือนกว่าๆ วิกฤตนี้จะบรรเทาลง เพราะส.ว.ชุดปัจจุบันจะหมดอายุวันที่ 11 พ.ค. 2567 นอกจากนี้ คนจำนวนมากมีความหวังว่าวันที่ 13 ก.ค.นี้ เราจะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้กลับมีส.ว.มาร่วมเลือกนายกฯ ซึ่งตนตีความว่าตอนจะเลือกนายกฯ ต้องให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกบุคคลที่จะเป็นนายกฯก่อน
“รัฐธรรมนูญ มาตรา 159 วรรคสอง ระบุว่า การคัดเลือกเสนอบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ให้ทำในสภาผู้แทนราษฎร โดยให้มีเสียงรับรอง 1 ใน 10 ดังนั้น หากมีการโหวตโดยส.ส.ก่อนว่าใครสมควรเป็นนายกฯ หากเสียงข้างมากคือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ได้ 312 เสียง ค่อยขอความเห็นชอบในที่ประชุมรัฐสภา” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า ตนไม่หวังกับ 10 เดือนที่ส.ว.คณะนี้ยังอยู่ แต่เมื่อพ้นจากวันที่ 11 พ.ค.67 จะมี ส.ว. ชุดใหม่ ซึ่งหากดูในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะมาจาก 20 กว่ากลุ่มเพื่อเข้ามาเป็น ส.ว. โดย ส.ว. ชุดนี้อาจจะเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญเร็วกว่า ส.ส. เสียอีก
ด้าน นายพริษฐ์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลยืนยันตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ว่าภารกิจคือฟื้นฟูประชาธิปไตย นำพาการเมืองกลับสู่ประชาธิปไตยปกติ องค์ประกอบสำคัญของการฟื้นฟูประชาธิปไตยคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 60 มีการฝังอาวุธไว้ 3 ชนิด คือ 1.วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งแต่มีอำนาจล้นฟ้า 2.ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ซึ่งกระบวนการแต่งตั้งและได้มาถูกผูกขาดจากส.ว. 250 คน และ 3.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เปิดช่องให้ขับไล่รัฐบาล และนายกฯ ได้หากไม่ได้ดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ นี่คือความอันตรายของรัฐธรรมนูญ 60 เพื่อใช้ในการสืบทอดอำนาจ ทั้งหมดเป็นเหตุผลว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงยืนยันจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเป็นจุดยืนตรงกันของทั้ง 8 พรรคร่วม
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ถือว่าเป็นอีกวิธีการที่รัฐสภาต้องออกแบบว่าจะแก้ไขอย่างไร รวมถึงการรณรงค์ของภาคประชาชน ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐสภาเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ต้องการให้การแก้ไขขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดด้วย การที่มีรัฐสภาที่มีเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะทำให้เกิดขึ้นได้เร็ว โดยมีกระบวนการรับฟังความเห็น ความคิดทางสังคมเพิ่มมากขึ้นด้วยแน่นอน
ภายหลังเสร็จสิ้นงาน ได้มีการแสดงสัญลักษณ์ชูนิ้วก้อยร่วมกันของตัวแทนพรรคการเมือง และภาคประชาชน เพื่อเป็นการแสดงถึงคำมั่นสัญญาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับภาคประชาชน ที่จะเดินหน้าร่วมกันเพื่อผลักดันการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญต้องทำโดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญต้องเปิดรับฟังความคิดเห็น และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน












