‘เค เสื้อแดง’ ยัน ไม่ได้กดดัน ‘เพื่อไทย‘ แค่รวมกันมาให้กำลังใจ
ชี้ ที่ผ่านมาพรรคถูกโจมตีมาตลอด หากเป็นตัวปัญหาก็ควรแยกออกมา แนะ ประธานสภาหากตกลงกันไม่ได้ก็ให้โหวตแข่งในสภา ขอพรรคร่วมตั้งสติพูดคุยให้เดินต่อไปได้ พร้อมเคารพการตัดสินใจของพรรคหลังจากนี้
วันนี้ (27 พ.ค. 66) นายนิยม นพรัตน์ หรือ เค เสื้อแดง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว The Reporters กล่าวถึงกรณีการจัดกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มแฟนคลับพรรคเพื่อไทย ที่จะไปยื่นหนังสือถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย เพื่อให้กำลังใจ และขอให้ทบทวนเกี่ยวกับการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ค. 66)
นายนิยม เปิดเผยว่า ตอนนี้มีสื่อหลายสำนักนำเรื่องการจัดกิจกรรมไปเขียนข่าวว่า พวกตนเองจะไปกดดันให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ซึ่งประเด็นหลักของการยื่นหนังสือคือการร่วมกับคนเสื้อแดงเพื่อต้องการให้กำลังใจ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงก็มีความผูกพัน และต่อสู้ด้วยกันมาอย่างยาวนาน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในอดีต คนเสื้อแดงถูกใส่ร้าย และถูกโจมตีจากฝั่งตรงข้าม
แต่ในช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ มีหลายพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่าพรรคประชาธิปไตย และถูกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยโจมตีตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนเลือกตั้งเสร็จกระแสโจมตีก็ยังอยู่ จึงชวนกลุ่มเพื่อนไปให้กำลังใจที่ถือว่าเป็นเป้าหมายหลักของการจัดกิจกรรม ซึ่งในหลังสือที่จะไปยื่นในวันพรุ่งนี้ มีข้อเรียกร้องคือการขอให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
นายนิยม ให้เหตุผลว่า เราจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลด้วยกันแต่กลับถูกโจมตีหลายอย่าง ทั้งจากโซเชียล จากพรรคการเมือง และคนนอกอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่มาแสดงความเห็น พยายามจะทำให้พรรคเพื่อไทยผูกติดกับพรรคก้าวไกลทั้งได้เป็นรัฐบาล และฝ่ายค้าน ตนเองจึงมองว่าไม่ใช่ เพราะทุกพรรคก็มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน และงานทางการเมืองที่นำเสนอนโยบายไว้จะต้องทำให้กับประชาชน รวมทั้งที่ตนเลือกพรรคเพื่อไทยมาไม่ใช่ให้มาเป็นสิ่งรองรับอารมณ์ของใคร
ข้อเรียกร้องต่อมาในหนังสือคือการให้พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพรรคที่ได้อันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล และโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่ง รวมถึงโหวตสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และข้อเรียกร้องสุดท้ายคือหากพรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ขอให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิของพรรคที่ได้อันดับสอง จัดตั้งรัฐบาล และนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติกับประชาชนให้ได้ ซึ่งอยู่ที่ดุลยพินิจของพรรค
ทั้งนี้ นายนิยม ระบุว่า จากสถานการณ์ที่กล่าวมาเราเพียงต้องการยื่นให้กับพรรคเพื่อไทยเพื่อให้ทบทวน แต่หากพรรคพิจารณาแล้วมีความเห็นอย่างไรก็จะเคารพการตัดสินใจของพรรค และเพื่อให้พรรคที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ทบทวนตัวเองอีกด้วยว่าหากไม่มีพรรคเพื่อไทยที่ถือเสียงอันดับสองแล้ว พรรคอันดับหนึ่งจะเดินอย่างไรต่อ จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ แต่เมื่อจะต้องเดินไปด้วยกันต่อ แล้วยังเอาเรื่องต่างๆ มาโจมตีกันจะเดินไปต่อได้ยังไง แต่ถ้าเดินไม่ได้จริงๆ มองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวปัญหา ก็ต้องถอนให้เขาบริหารจัดการด้วยตัวเอง ให้เขาไปหาเสียงจัดตั้งรัฐบาลเอาเอง แต่เราก็สนับสนุนผ่านการโหวตตามระบอบประชาธิปไตย
นายนิยม ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นแดงปลอม หรือมาเพื่อยุยงให้แตกกัน พร้อมฝากถึงนายชูวิทย์ที่บอกว่าม็อบนี้จะสร้างความแตกแยกให้กับพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวว่า หากตนเองไม่ใช่คนเสื้อแดงก็คงไม่กล้ามายืนตรงนี้ ซึ่งคนรอบข้างก็เชียร์พรรคก้าวไกล ถ้าตนเป็นแดงปลอมจริง คงโดนคนรอบข้างโจมตีไปนานแล้ว อีกทั้งดีลต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหา ก็เป็นสิ่งที่มโนภาพขึ้นมาเอง เพื่อหวังคะแนนเสียง แต่เมื่อครั้งพรรคก้าวไกลที่เชิญพรรคชาติพัฒนากล้าจนเกิดการต่อต้านจากกองเชียร์ ทำไมเราจะทักท้วงกับพรรคที่เลือกมาไม่ได้บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่หลายฝ่ายมองว่าพรรคเพื่อไทยไม่ชัดเจนหรือไม่ ตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้ง จนนำไปสู่การไม่ไว้ใจของพรรคก้าวไกล และกลุ่มอื่นๆ นายนิยม กล่าวว่า การที่ไม่ไว้ใจก็มีส่วนถูก แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยก็พูดชัดเจนกันเยอะแล้ว แต่ยังคงถูกโจมตีว่าไม่ชัดเจน ตนจึงตั้งคำถามกลับไปว่า พรรคก้าวไกลหรือพรรคอนาคตใหม่เดิมเปิดตัวหาเสียงเข้ามาเพื่อจะแก้ไขมาตรา 112 ปฏิรูปสถาบัน แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน แต่วันนี้ก็หมอบราบคาบแก้ว แม้วันที่ลงนาม MOU ก็ยังไม่กล้าที่จะเขียนใส่เข้าไป เพราะต้องการสนับสนุนจากทั้งพรรคร่วม และสมาชิกวุฒิสภา จึงยอมถอย แล้วมาโทษพรรคเพื่อไทย เช่นนี้จะร่วมงานกันได้อย่างไร
เมื่อถามต่อว่า หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียดแบบนี้ต่อไป อนาคตจะเป็นอย่างไร นายนิยม กล่าวว่า ตอนนี้อยากให้ทุกพรรคได้ทบทวน ว่าหากขาดพรรคใดพรรคนึงไปแล้วจะเดินกันอย่างไร และตอนนี้ก็ยังแย่งประธานสภาฯ กันอยู่ ซึ่งหากยังเคลียร์กันไม่ได้ตนก็เสนอให้โหวตแข่งกันในสภา ซึ่งนายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกลอ้างถึงประเพณีว่าพรรคอันดับหนึ่งควรได้ตำแหน่งประธานสภา ตนมองว่าพรรคก้าวไกลก็พยายามล้มประเพณีขนบธรรมเนียมเดิมทิ้งทั้งหมด แต่พอเป็นเรื่องที่ตัวเองได้ผลประโยชน์กับมาเรียกร้องให้ปฎิบัติตามประเพณี ซึ่งหากตัดสินกันไม่ได้ก็ขอให้ไปโหวตในสภา ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้นำ
สำหรับกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นปัญหาของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ให้กับไปพูดคุยกันในวงเจรจา นายนิยม กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยตอนนี้เหมือนสลบไปแล้ว เพราะนายพิธาปล่อยให้เรื่องที่คุยกันในวงออกมา รวมถึงการปล่อยให้คนนอกมารุมสับพรรคเพื่อไทยจนเละไปแล้วถึงจะออกมาพูด จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก แต่เรื่องดังกล่าวก็ควรที่จะคุยกันในโต๊ะเจรจา
เมื่อถามว่าในใจลึกๆ อยากให้พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยแยกออกจากกันเลยหรือไม่ นายนิยม ตอบว่า ไม่ได้ต้องการให้แยก อยากให้เดินร่วมกัน แต่ที่เคลื่อนไหวเพราะอยากให้ทบทวน และเพื่อให้กำลังใจพรรค ซึ่งพรรคถูกกระทำมาพอสมควร การมาดูถูกพรรคที่ตนเองเลือก แล้วจะให้ร่วมงานกันได้อย่างไร การที่ไปยื่นก็เพื่อให้พรรคได้รู้ว่าอีกกว่าสิบล้านเสียงจะยืนเคียงข้างไม่ไปไหน คนเสื้อแดงยังยืนหยัด และยึดมั่นอยู่กับพรรคเพื่อไทย ส่วนการเคลื่อนไหวจะยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยโดนกระแสหนักกว่าเดิมหรือไม่ นายนิยมบอกว่าไม่เคลื่อนไหวก็โดน โดนอยู่ทุกวัน
“พรรคไม่เดียวดาย พรรคยังมี Voter ที่สนับสนุนคุณอยู่ พรรคจะต้องมีศักดิ์ศรี ดำเนินแนวทางไปตามนโยบายของพรรค คือสิ่งที่เราเคลื่อนไหว” นายนิยมกล่าว
ทั้งนี้ นายนิยม ย้ำว่า อยากให้พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลตั้งสติ และคุยกันเพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนกันไปได้ และพูดคุยกันอยู่ในวงเจรจา ไม่อยากให้สิ่งที่คุยออกมาข้างนอกวงเจรจา คุยกันแล้วนำไปสู่ผลประโยชน์ของประชาชน และออกมาพูดความสำเร็จ ไม่ใช่ออกมาโจมตีกันจนเกิดความแตกแยก ซึ่งท้ายที่สุดหากพรรคเพื่อไทยจะยังอยู่กับพรรคก้าวไกล ตนในฐานะที่เป็นคนเสื้อแดง และแฟนคลับพรรคเพื่อไทยก็จะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน และจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย แต่หากเป็นพรรคอำนาจเดิม พรรคเพื่อไทยก็จะต้องมีเหตุผล และตอบกับประชาชนให้ได้ ซึ่งหากไปผลออกมาแบบไหนก็ต้องยอมรับ และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมีเหตุผลพอมนการจะทำอะไรหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง