POLITICS

ปธน.เยอรมนี เยี่ยมชมสวนตารมย์ ศึกษาการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เพื่อปลูกข้าวอย่างยั่งยืน

ประธานาธิบดีเยอรมนี เยี่ยมชมสวนตารมย์ อุบลราชธานี ศึกษาการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เพื่อปลูกข้าวอย่างยั่งยืน

ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พร้อมคณะ เยี่ยมชมสวนตารมย์ บ้านดอนหมู อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่แปลงเกษตรสาธิตขนาด 35 ไร่ ของโครงการระบบการผลิตข้าวยั่งยืนแบบองค์รวม (Inclusive Sustainable Rice Landscape: ISRL) โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายณัฐวัฒน์ กฤษณามระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ให้การต้อนรับ

สำหรับกำหนดการเยี่ยมชมครั้งนี้ ประธานาธิบดี ได้พบกับเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของโครงการ และผู้นำชุมชนเพื่อเรียนรู้วิธีจัดการดินและน้ำ ประกอบด้วย การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักที่ช่วยลดอัตราการสูญเสียปุ๋ยและทำให้ข้าวได้รับปุ๋ยสม่ำเสมอทั่วกันทั้งแปลงนา ลดการใช้น้ำและเชื้อเพลิงในการปลูกข้าว ด้วยวิธีจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การทำปุ๋ยจากมูลสัตว์ลดต้นทุนการเกษตร การจัดการฟางข้าวเพื่อนำมาเป็นอาหารสัตว์ ลดการเผาฟางและตอซัง ขุดบ่อน้ำไว้ใช้ในพื้นที่เกษตร พร้อมเลี้ยงปลาเพื่อบริโภคและจำหน่ายเป็นรายได้เสริม และปลูกป่าไม้ยืนต้นบนคันนา ตามแนวทางวนเกษตร

โครงการระบบการผลิตข้าวยั่งยืนแบบองค์รวม ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility) ผ่านโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) โดยมีองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) เป็นผู้ดำเนินโครงการในพื้นที่นำร่องจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดเชียงราย สนับสนุนประเด็นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ลดความเสื่อมโทรมของที่ดิน และบรรเทาผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ยังเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง GIZ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบริษัทโอแลมอกริ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเรียนรู้วิธีการจัดการระบบอาหาร ฟื้นฟูสภาพดิน และแนวทางการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เพื่อปลูกข้าวอย่างยั่งยืน นำมาสู่การเพิ่มผลผลิตและรายได้อย่างมั่นคง รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรไทย

ทั้งนี้ คาดว่าเกษตรกรกว่า 45,000 คนจะได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการ นำมาสู่การพัฒนาพื้นที่กว่า 652,500 ไร่ ให้เป็นพื้นที่การปลูกข้าวยั่งยืนและสามารถฟื้นพื้นที่สำหรับการปลูกป่าและพืชหมุนเวียนได้มากกว่า 187,500 ไร่ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตรไทยได้มากถึง 3.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดการใช้สารเคมีในกระบวนการเกษตรได้ 100 เมตริกตันภายในปีสิ้นสุดโครงการ

Related Posts

Send this to a friend