นายกฯ ยินดีส่งออกน้ำตาลคึกคัก คาดปี 66 มีมูลค่าสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี การส่งออกน้ำตาลไทยคึกคัก คาดการณ์มีมูลค่าสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566 พร้อมกันนี้ นายกแนะให้ปรับแผนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับกระแสโลก เพื่อการพัฒนาที่เท่าทันเสมอ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบจากการรายงานว่าปริมาณการส่งออกน้ำตาลของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ยินดีที่จะเป็นอีกส่วนสำคัญในการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ไทยถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำตาลทรายอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งจากการรายงานศูนย์วิจัยกสิกร คาดว่าปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายของไทยน่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่อาจเติบโตได้ถึง 125% โดยเมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของ 2 ปีก่อนหน้านี้ ที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปี 2563-2564 และผลกระทบโควิด ใน 10 เดือนแรกของปี 2565 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายได้ขยายตัว 120.1% ซึ่งคาดว่ามูลค่าการส่งออกน้ำตาลของประเทศไทยจะสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566 โดยขยายตัว 1-5%
ทั้งนี้ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยถือเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ลำดับที่ 4 ของโลก รองจากบราซิล อินเดีย และอียู ซึ่งจากปัจจัยที่เอื้ออำนวย ในปีนี้และปีหน้า ประเทศไทยสามารถไต่อันดับการส่งออกน้ำตาล ในระดับที่สูงขึ้นได้
ประกอบกับปริมาณผลผลิตและสต็อกน้ำตาลทรายของไทยเพียงพอกับความต้องการในตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางสภาพภูมิอากาศที่สามารถปลูกอ้อยได้ดี ทำให้สามารถผลิตน้ำตาลได้ปริมาณมาก และมีคุณภาพสูง สำหรับฤดูกาลผลิตอ้อยปี 2565/2566 คาดว่าจะมีปริมาณผลผลิตมากกว่า 100 ล้านตัน และจากการที่อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 2 ของโลกจำกัดการส่งออกน้ำตาลจนถึงเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มโอกาสให้ไทยสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกน้ำตาลได้
ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทรายพบว่า มีตลาดคู่ค้าใหม่หลายประเทศที่ต้องการนำเข้าน้ำตาลทรายจากไทยมากขึ้น เช่น จีน แทนซาเนีย เคนยา อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายปัจจัยแม้ว่าจะมีโอกาสทางการค้าแต่อาจมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ปริมาณการผลิตน้ำตาลที่มากขึ้น จากบราซิล ไทย และจีน อาจส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวลดลง
“นายกรัฐมนตรีชื่นชม และขอบคุณการทำงานของทุกภาคส่วน ที่ช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าของไทย การร่วมแรงร่วมใจนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ประเทศ อย่างไรก็ดี กระแสโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ผู้คนคำนึงถึงสุขภาพในการรับประทานอาหารมากขึ้น จึงอยากให้ภาคส่วนธุรกิจคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงและนำมาปรับใช้ สร้างไอเดียทางธุรกิจ ต่อยอดประกอบกับการพัฒนาทางนวัตกรรม เพื่อให้ไทยไม่ตกกระแส และมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เท่าทันกระแสของโลกเสมอ” นายอนุชาฯ กล่าว