‘ไทยศรีวิไลย์’ ไม่แก้ ม.112 หวั่นเกิดสงครามกลางเมือง

‘ไทยศรีวิไลย์’ ไม่แก้ ม.112 หวั่นคนล้มระบอบ จนเกิดสงครามกลางเมือง ปิ๊งไอเดียตั้ง สสร. ให้สิทธินักบวชเข้าชื่อถอดถอนนักการเมือง-เสนอกฎหมายได้ แต่ยังไม่ให้เลือกตั้ง
วันนี้ (21 ต.ค. 65) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา ในประเด็นข้อเสนอหลายพรรคการเมือง ต่อการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า พรรคไทยศรีวิไลย์ ไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะด้วยประวัติศาสตร์ชาติไทย ร่วม 865 ปีมาแล้ว พร้อมทั้งได้ อ้างอิงถึงรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ที่ว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะฟ้องร้องในทางใดมิได้ มาตรา 50 ที่ว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกอบกับในร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 14 บังคับว่าพรรคการเมืองต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของรัฐ ต้องไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ต้องไม่กระทำการให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ
สำหรับมาตรา 112 นั้น นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการ ก็มีกฎหมายปกครอง แยกกับกฎหมายที่ปกป้องคุ้มครองประชาชน เฉกเช่นที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศเสรีนิยม ก็มีกฎหมายปกป้องคุ้มครอง อย่างกรณีโทษจำคุก นายจอห์นเน่ โลแกน 33 ปี จากการข่มขู่นายบารัก โอบามา
“พรรคไทยศรีวิไลย์ จึงไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะจะขัดด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 2 มาตรา 6 มาตรา 50 และขัดด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (1) (2) (3) เพราะราชอาณาจักรไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นายมงคลกิตติ์ มองว่า หากไม่มีกฎหมายปกป้องคุ้มครองประมุข จะทำให้ระบอบการปกครองประเทศไทยเสื่อมลง จนเป็นช่องว่างให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มให้ข้อมูลด้านเดียว ไม่รอบด้าน ชี้นำให้สังคมไม่ทันเกมความคิดของคนกลุ่มนั้น เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นรูปแบบอื่นที่กลุ่มบุคคลนั้นต้องการ จนเกิดความสั่นคลอนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามทางความคิด สงครามการเมือง จนทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอนาคตอันใกล้”
นายมงคลกิตติ์ ยังกล่าวถึงนโยบายของพรรคไทยศรีวิไลย์ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 ว่า ขอเสนอให้รัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งทั่วไป ให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ฉบับของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พรรคไทยศรีวิไลย์ จะเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็น ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช ให้ไม่มีสิทธิทั้งสมัครและลงคะแนนเลือกตั้งเหมือนเดิม แต่ให้เพิ่มสิทธิเสนอแก้ไขกฎหมาย สิทธิเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทุจริตประพฤติมิชอบ เพราะถือว่าพระมีศีล 227 ข้อมากกว่าประชาชน 5 ข้อ พระย่อมมีศีลมากกว่านักการเมืองและประชาชน