POLITICS

นายกฯ ย้ำ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบ ไม่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ​

นายกรัฐมนตรี​ เป็นประธานพิธีติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด​ เปิดช่องแก้กฎหมาย​ ให้ดุลยพินิจศาลกำหนดบทลงโทษ​ มุ่งแก้นักโทษล้นคุก​ ย้ำ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบ ไม่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ​ ยึดตามหลักสากล​ พร้อมเพิ่มรางวัลนำจับเจ้าหน้าที่​ เป็น​ 30 %

พลเอกประยุทธ์​ จันทร์​โอชา​ นายกรัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ พร้อมด้วย นาย​สมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รัฐมนตรีว่าการกระทระทรวงยุติธรรม​ เป็นประธานในพิธีการติดตามผลบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด​

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า​ ทุกภาคส่วนมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรและเป็นระบบ จนได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หลายอย่างมีความก้าวหน้าที่ดีขึ้น​ หลายอย่างอาจจะต้องแก้ไขปรับปรุง​อาทิ​เช่นกฎหมาย เป็นตัวนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการ

ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลได้กำหนดให้ยาเสพติดนั้นเป็นวาระแห่งชาติ แผนที่ 12 ของนโยบายเร่งด่วน ที่ทุกหน่วยงานจะต้องเข้ามาร่วมมือกัน​ทั้งภาครัฐเอกชนภาคประชาชน ทุกคนทราบดีถึงที่ภัยของยาเสพติด​ ที่มีผลกระทบต่อครอบครัว​ สังคม​ ประเทศชาติ และจะต้องทำให้ยาเสพติดหายไปจากสังคมไทย​ วันนี้มีการแพร่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาคมโลก ได้ทุกประเทศ ประมวลกฎหมายอาญายาเสพติดฉบับใหม่ ที่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างการปราบปราม​ โดยมีการรวมกฎหมาย 24 ฉบับ​เป็นฉบับเดียว​ เพื่อความสะดวกและลดความซับซ้อน ทำให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่างๆ ได้โดยสะดวกเข้าใจกฎหมาย​ เพื่อให้เกิดความร่วมมือ​ ความเข้าใจอย่างถูกต้องและได้ใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบ ที่จะป้องกันการแพร่กระจายของยาเสพติด

รวมทั้งได้มีการปรับบทลงโทษการกำหนดโทษผู้ใช้ยาเสพติด​ เนื่องจากเดิมมีการกำหนดโทษอย่างรุนแรง ไม่ได้แยกความผิด วันนี้ได้มีการพิจารณาในเรื่องนี้ ให้เกิดความเป็นธรรมเป็นประโยชน์ในการลดโทษความผิดที่ไม่ร้ายแรง​ เน้นลงโทษผู้ค้าหรือกระบวนการ โดยให้ศาลใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษให้เหมาะสม​ มีทางเลือกอื่นแทนการจำคุก​ เพื่อลดปัญหานักโทษล้นเรือนจำ เปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดร้ายแรงที่มีโอกาสกลับตัวเป็นคนที่ดีของสังคม

ขณะที่ผู้เสพจะนำวิธีการสาธารณสุขและแก้ไขปัญหา โดยให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาบำบัดฟื้นฟู​ เปิดช่องสามารถนำยาเสพติดไปใช้ประโยชน์ต่างชาติการศึกษาวิจัยและทางเศรษฐกิจจะได้มากขึ้น ในทางที่ถูกต้อง

โดยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา​ได้มอบนโยบายและข้อสั่งการไปแล้ว หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในงานที่เกี่ยวข้องผู้ปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กำหนดเป้าหมายทิศทางที่ชัดเจน ดำเนินการตามแผนด้านต่างๆ​ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป้าหมายหลักนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ การยึดทรัพย์สินที่ตั้งเป้าหมายไว้ 10,000 ล้านบาท และสามารถดำเนินการได้แล้วกว่า 8 พันล้านบาท

ซึ่งที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโควิด​- 19 ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของประชาชน​มีความเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มผู้เสพผันตัวเป็นผู้ค้ายาเสพติด และมีผู้เสพยาเสพติดเพิ่มมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ปัญหาของเราคือจะทำอย่างไรเพื่อลดจำนวนผู้เสพยาให้มีจำนวนน้อยลงให้มากที่สุด การดำเนินการจะสำเร็จได้ต้องให้ความสำคัญในหมู่บ้านชุมชนและโรงเรียน ภาครัฐ​ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้อง​บูรณาการร่วมกัน ทั้งแผนเงิน​ แผนงาน ทำงานร่วมกันมีส่วนลดประมาณที่มีอยู่ หรือไม่จำเป็นต้องใช้งบในการสร้างความเข้าใจความร่วมมือประชาสัมพันธ์ จะช่วยกันสอดส่องดูแล​ ไม่ให้มีการเพิ่มจำนวนนักเสพหน้าใหม่เพิ่มขึ้น มุ่งทำลายเครือข่าย​ และนายทุนที่ไม่แสวงหาผลประโยชน์อย่างยาวนาน​ และการอายัดทรัพย์สินเป็นสำคัญ​ เพื่อเป็นการตัดท่อลำเลียงของกระบวนการยาเสพติด พร้อมไปกับการเพิ่มเงินรางวัลให้กับการขยายผลที่ชัดเจนให้มากขึ้นถึงร้อยละ 30 เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่​ มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน​

ประเด็นสำคัญคือเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องซื่อสัตย์สุจริต ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทน​ โดยที่เจ้าหน้าที่จะต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องให้ความเป็นธรรม​ ไม่ใช้ความรุนแรงจนเกินกว่าเหตุ ยึดตามหลักสากล​ และการปฏิบัติงานอย่างระมัดระวังที่สุด

โดยในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรียังเตือนเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานโดยใช้อาวุธ ต้องไม่ประมาท และใช้อย่างระมัดระวัง

Related Posts

Send this to a friend