‘โรม’ บอก เห็นกับตารถขนปูนจากฝั่งไทยไปเมียนมา สร้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วอนรัฐเร่งปราบ

‘โรม’ บอก เห็นกับตารถขนปูนจากฝั่งไทยไปเมียนมา สร้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วอนรัฐเร่งปราบปราม กู้ชื่อเสียงประเทศ
วันนี้ (16 ม.ค. 68) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายภายหลัง นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง พิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขกระบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า ว่า ตนเองพูดเรื่องนี้ด้วยความหนักใจ เพราะเคยอภิปรายอยู่หลายวาระ สส.ทุกคนเห็นปัญหา เห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การอภิปรายปี 2566 เราเห็นความคืบหน้าของเรื่องนี้น้อยมาก เราไม่ได้พูดถึงแค่ทุนสีเทาที่มาจากต่างประเทศ แต่กำลังพูดถึงการผนวกรวมกันของทุนสีเทาและอาจจะดำในประเทศไทย
หากเราพูดถึงความเสียหาย เราจะพบว่ามีมูลค่าความเสียหายในไทยกว่า 7 หมื่นล้านบาท หากรวมตัวเลขทั้งหมดน่าจะทะลุ 1 แสนล้านบาท และมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมสแกมเมอร์มากกว่า 3 แสนคน และหากอุตสาหกรรมนี้เติบโตต่อน่าจะมีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ตัวเลขความเสียหายน่าจะมากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทยตลอดทั้งปี
เราจะพบว่าคนจากหลากหลายชาติถูกหลอก ถูกนำพาผ่านประเทศไทย และถูกส่งตัวไปที่อื่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะหลอกว่า ทำงานที่ประเทศไทยได้รายได้ดีแต่กลับถูกส่งตัวไปยังเมืองเมียวดี และพื้นที่ใกล้เคียง สถานะของประเทศไทยจึงกลายเป็นเอเย่นต์อย่างไม่เต็มใจของแก๊งค้ามนุษย์ เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า หากไม่มีประเทศไทยแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะไม่มาตั้งที่บริเวณชายแดน
เรามี 2 คำถามที่จะต้องเข้าใจคือ 1.ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถึงเลือกมาตั้งอยู่ใกล้ชายแดนของไทย 2. การมาตั้งอยู่ใกล้ชายแดนของไทย พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ทำไมถึงไม่เป็นประเทศจีน หรืออินเดีย หากเราตั้งคำถามก็จะเห็นความผิดปกติว่าประเทศไทยเกี่ยวข้องกับแก๊งหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามอาณาจักรของคอลเซ็นเตอร์อยู่รอบประเทศไทย และมีความพยายามที่จะเข้ามาตั้งในประเทศไทย เป็นเรื่องที่น่าหนักใจและกังวลใจเพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีมาตรการที่ชัดเจน
นายรังสิมันต์ เปิดเผยว่าในเมืองเมียวดีมี 34 จุดต้องสงสัย ซึ่งเกินกว่า 10 จุดเป็นของคนไทย หลายจุดเป็นของตำรวจและอดีตทหาร ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การหลอกลวงเอาเงินของพวกเราไป ดังนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงเกี่ยวพันกับประเทศไทย พร้อมเปิดข้อมูลจุดขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบโต บางจุดไฟถูกตัดไปแล้ว โดยจุดขายไฟฟ้าที่จังหวัดตากเป็นนอมินี เป็นบริษัทของชนกลุ่มน้อยที่มาซื้อขายไฟ เชื่อว่าชาวบ้านคงได้ประโยชน์อยู่บ้าง
ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ยังเปิดคลิปวิดีโอสายไฟฟ้าที่ลากจากไทยไปยัง KK Park ระบุว่าตนเองได้ยินกับหู เพราะเป็นคนถามการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่า ไฟฟ้าถูกตัดแล้วจะสามารถรื้อถอนเสาไฟได้หรือไม่ แต่กลับได้รับคำตอบว่า “เผื่อในอนาคตขายใหม่” นี่คือวิธีคิดของหน่วยงานในประเทศ กระทรวงมหาดไทยต้องเอาจริงเรื่องนี้ จะปล่อยให้คาราคาซังไปทำไม การขายไฟฟ้าหากนำไปสู่การตัดไฟ เราไม่ได้รับผลกระทบเพราะไฟฟ้าเหล่านี้คิดเป็นรายได้ไม่เยอะของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตกลงแล้วประเทศไทยคือแบตเตอรี่ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช่หรือไม่
ความตลกร้ายที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบราชการของไทยคือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้นิ่งนอนใจขนาดนั้น แต่หากใช้ความพยายามสักหน่อยก็จะประสบความสำเร็จ ในหนังสือติดตามมติ ครม.เมื่อเดือน พ.ค.67 ระบุชัดเจนว่าให้ระงับสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน ที่ใช้เป็นประโยชน์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไฟฟ้ายังขายอยู่ น้ำมันที่ถูกส่งไปปั่นไฟให้กับชเวโก๊กโก ก็ถูกส่งมาจากประเทศไทย
“เกิดอะไรขึ้นกับประเทศเรา ตกลงแล้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลมใต้ปีกที่ชื่อว่า ประเทศไทยใช่หรือไม่”
นายรังสิมันต์ เปิดภาพท่าข้ามที่ 29 ซึ่งฝั่งตรงข้ามไม่ได้มีชุมชนมากมาย ส่วนใหญ่เป็นแก๊งค์ สแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ มีการช็อตไฟฟ้า ทุบตี มีกระบวนการที่กำลังหลอกเงินคนไทยและคนทั่วโลก ซึ่งท่าดังกล่าวถูกอนุมัติโดยกระทรวงมหาดไทย ความน่าตกใจคือท่านี้มีที่ทำการหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ที่ทำการท่า 29 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรท่า 29 ด้วย
นอกจากนี้ยังเปิดภาพขณะที่ลงพื้นที่ไปยังชายแดน พบการขนปูนจากประเทศไทยไปยังท่าข้าม และกำลังส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังก่อสร้างแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ตนเองเห็นกับตา ในบริเวณท่าดังกล่าวยังเห็นทหาร ตนเองเชื่อว่าท่าเหล่านี้น่าจะมีคนถูกหลอกข้ามไปฝั่งเพื่อนบ้านด้วย สุดท้ายแล้วแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ปลูกสร้างโดยคนไทย มีคนบางกลุ่มได้ประโยชน์บนความทุกข์ทรมานของผู้อื่น
จนถึงตอนนี้หน่วยงานของรัฐไม่จำเป็นต้องรอให้กรรมาธิการหรือสภาฯ ต้องพูดเรื่องนี้ซ้ำอีก ถึงเวลาที่เรื่องนี้จะเป็นวาระแห่งชาติ ทุ่มสรรพกำลังปราบปรามและจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาตรการเรื่องบัญชีม้าและซิมม้าไม่เพียงพอ เพราะศัตรูของชาติอยู่ใกล้เราเราต้องปราบปรามอย่างถึงรากถึงโคน จัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น สำคัญคือการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์อีก 6 พัน
ตนเองในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ยินดีหากสภาฯ จะส่งเรื่องนี้เข้าสู่กรรมาธิการแต่คิดว่าเรื่องนี้ต้องช่วยกัน กรรมาธิการทำเต็มที่แล้ว แต่ยังต้องการแรงขับเคลื่อนจากพรรคการเมืองโดยเฉพาะฝั่งรัฐบาล อยากให้ใช้โอกาสนี้ร่วมมือกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้ภัยคุกคามนี้หมดไป ทำให้ประเทศไทยกลับมามีชื่อเสียงที่ดีอีกครั้ง ทำให้คนที่กำลังเดินทางมาประเทศไทยไม่ต้องกังวลว่า จะถูกหลอกหรือเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์หรือไม่ “Land of smile” จะเป็น Land of smile อย่างแท้จริง ถ้าพวกเราช่วยกัน