‘พีระพันธุ์‘ เดินหน้าแก้กฎหมายพลังงาน คืนอำนาจกำหนดเพดานภาษีน้ำมัน หวังคุมราคา
‘พีระพันธุ์‘ ยัน กฤษฎีกา ไม่มีความเห็นในครม.ออกมาตรการช่วยประชาชนลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน บอก ช่วยเหลือประชาชนไม่ดีตรงไหน ชี้ เดินหน้าแก้กฎหมาย คืนอำนาจกระทรวงพลังงานกำหนดเพดานภาษีน้ำมัน หวังควบคุมราคา
วันนี้ (8 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แสดงความคิดเห็นประกอบ การพิจารณาการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน ว่า ”ไม่มี ไปตามข่าวมาจากไหน ผมนั่งอยู่ใน ครม.“
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าในเอกสารมีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าการใช้เงินไปอุดหนุนบ่อยๆ อาจจะเป็นการบิดเบือน ในส่วนของกระทรวงพลังงานยังยืนยันว่าจะเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนต่อไปอยู่ใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ช่วยเหลือประชาชนไม่ดีตรงไหน”
ส่วนกรณีที่สมาคมรถบรรทุกออกมาให้ความเห็นว่าหากมีการปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลไปอยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร อาจจะกระทบกับค่าขนส่งนั้น นายพีะพันธุ์ กล่าวว่า เราก็ยังคงตรึงราคาให้เขามาตลอด และขณะเดียวกันก็ได้รับการร้องเรียนมาเหมือนกัน ว่าเวลาเราลดราคา เหตุใดผู้ประกอบการจึงไม่ลดให้กับประชาชน
การตรึงราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 33 บาทต่อลิตรหมายความว่ารัฐบาลจะพยายามไม่ให้ราคาสูงเกินกว่าที่กำหนดใช่หรือไม่ นายพีระพันธ์ุ ระบุว่า ก็พยายามและที่ผ่านมาก็พยายามตรึงเท่าที่จะตรึงได้ และที่ผ่านมาตรึงได้แค่ 30 บาทต่อลิตร แล้วที่ผ่านมา 50 กว่าปี ก็ใช้วิธีการตรึงราคาด้วยเงิน เมื่อเงินในกระเป๋ามีมากก็ตรึงได้มาก เงินในกระเป๋ามีน้อย ก็ตรึงได้น้อย พอเก็บเงินได้ใหม่ก็ตรึงได้อีก ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับระบบนี้ ซึ่งวิธีการใช้เงินไปตรึงราคาน้ำมัน ตนเองมองว่ามันไม่ใช่ ต้องมีการปรับระบบใหม่ ซึ่งตนเองกำลังทำอยู่ และขณะนี้กำลังมีการเขียนกฎหมายใหม่อยู่ ซึ่งอาจจะใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากเสร็จไปแล้วในระดับหนึ่ง
นายพีระพันธุ์ ยังยืนยันด้วยว่า การของบกลางมาช่วย ในมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าเงินในกองทุนน้ำมัน จะสามารถช่วยดูแลราคาน้ำมันได้อีกนานใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ อธิบายว่า เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมัน มาตั้งแต่ปี 2516 มีการตั้งกองทุนน้ำมัน ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับ และเพิ่งมีกฎหมายรองรับ ยกฐานะกองทุนน้ำมัน เมื่อปี 2562 ซึ่งก่อนหน้านั้นใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 มาโดยตลอด ซึ่งให้อำนาจทางกองทุนดูแลตรึงราคา หรือควบคุมระดับราคาน้ำมันได้ 2 ขา โดยขาหนึ่งใช้เงินในกองทุน และอีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งขณะนี้กองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจเก็บภาษีแต่มีอำนาจกำหนดเพดานภาษี เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้ 2 ขานี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ และนอกจากจะใช้เงินแล้ว ก็ใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมราคาได้ด้วย ซึ่งเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือกระทรวงการคลัง
แต่เมื่อออกกฎหมายในปี 2562 มีการตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีออก เพราะฉะนั้นตัวเลขของกองทุนน้ำมันที่เป็นหนี้ขึ้นมาเรื่อยๆก็ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา เนื่องจากการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนน้ำมันนั้นไม่มีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาพยายามขอให้ทางกระทรวงการคลังพิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิตซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไป
นายพีระพันธุ์ ยังมองว่า อำนาจในการกำหนดเพดานภาษีควรกลับมาเป็นแบบเดิม อำนาจในการจัดเก็บภาษี ไม่ใช่ของกระทรวงพลังงาน แต่เนื่องจากสินค้าตัวนี้ เป็นสินค้าที่กระทรวงพลังงานกำกับดูแล เพราะฉะนั้นอำนาจในการกำหนดเพดาน ควรที่จะอยู่กับกระทรวงพลังงาน ส่วนกำหนดแล้วจะจัดเก็บเท่าไหร่กระทรวงการคลังก็ไปดำเนินการจัดเก็บ ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งเดิมของ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547