POLITICS

‘เพื่อไทย’ แนะรัฐ ถอดบทเรียน เหตุคนร้ายก่อความรุนแรงที่หนองบัวลำภู

ทบทวนการครอบครองอาวุธปืน-ประเมินสภาพจิตเจ้าหน้าที่ พร้อมชู นโยบาย ประกาศสงครามกับยาเสพติด เร่งบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ ให้กลับเข้าสู่สังคม ย้ำชัด เพื่อไทยเอาจริง และไม่ยอมปล่อยให้เยาวชนข้องเกี่ยวกับยาเสพติดได้อีก

วันนี้ (6 ต.ค. 65) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงนโยบายมาตราการในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาจากกรณีคนร้ายก่อความรุนแรงที่ศูนย์เด็กเล็กจังหวัด หนองบัวลำภู โดยมีส่วนเกี่ยวข้องยาเสพติด

น.พ.ชลน่าน กล่าวความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสีย พร้อมยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก และสร้างความสะเทือนขวัญให้กับคนทั่วโลก ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญ และติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ โดยทางพรรคได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย และประณามการกระทำข้อผู้ก่อเหตุ รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องออกมารับผิดชอบ แก้ไขปัญหา ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะต้องถอดบทเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งเรื่องของสภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา การแก้ปัญหา และแนวทางการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ที่ต้องเข้าไปดำเนินการ

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีหลายมิติ เช่น มิติเชิงสังคม มิติทางเศรษฐกิจ และมิติเรื่องของความมั่นคง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงขอแถลงว่า พรรคจะดำเนินการติดตาม เข้าไปช่วยเหลือดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ทางเลขาพรรค และ ส.ส. มุกดา พงศ์สมบัติ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ
พร้อมด้วย ส.ส.หนองบัวลำภู ทั้ง3เขต จากพรรคเพื่อไทย จะเข้าไปศึกษาเรียนรู้ และรับฟังปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อนำมาประมวลกระบวนในการช่วยเหลือดูแล ทั้งระยะสั้น และระยะยาวต่อไป

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า พฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นอดีตตำรวจ และถูกออกจากราชการฐานเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีพฤติกรรมก็จงใจ และเจตนาที่จะก่อเหตุ โดยยกตัวอย่างพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุดังนี้

  1. การเลือกใช้สถานที่ก่อเหตุ คือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพราะสามารถก่อเหตุได้ง่าย และไม่มีการต่อสู้หรือการป้องกัน
  2. การกระทำกับเด็ก ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง จะสร้างแรงกระเพื่อมในการก่อการระดับโลก
  3. การดำเนินการมีการเตรียมการ ทั้งเรื่องอาวุธ การหลบหนี การทำร้ายคนละหว่างทาง และทำร้านครอบครัว และตนเอง ซึ่งเป็นเจตนาที่ชัดเจน

ซึ่งพรรคเพื่อไทย เห็นว่า สภาพปัญหาทีเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเมื่อมองย้อนกลับมาดูการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดนี้มีข้อผิดพลาดอย่างไร ถึงแม้จะมีมาตราการป้องกัน การจับกุม การ ยึดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมากมาย แต่มาตราการป้องยังไม่ชัดแจ้ง เพียวแค่ทราบว่ามียาเสพติดระบาดในทุกหนแห่ง โดยจากการตรวจสอบ พบว่ามีการแข่งการผลิตกว่า 7บริษัท รอบๆ ชายแดนประเทศไทย ใช้ความรู้ทางเคมีในการผลิตสารตั้งต้นที่คล้ายกับการตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้ยาเสพติดระบาดได้ง่าย เนื่องจากราคาต่อเม็ดไม่ถึง 4บาท

อีกทั้ง รัฐบาลชุดนี้ประกาศว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย จะต้องได้รับการรักษา ฟื้นฟู แต่สิ่งที่พบขณะนี้คือ หากผู้ที่เสพยา ถ้าไม่ได้รับการบำบัดฟื้นฟู ก็จะเกิดสภาพจิตใจ เช่น อาการหลอน คลั่ง โดยเฉพาะผู้ที่เสพมาเป็นเวลานาน ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้สันนิษฐานว่ามีการเสพยามา เป็นฤทธิ์ของยา

“การกระทำแบบนี้ โดยสันดานมนุษย์ จะต้องมีความเครียดแค้นชิงชัง อย่างหนักหนาสาหัส ถึงกล้าที่จะทำแบบนี้ได้ สภาพปัญหาทางจิตอย่างเดียวไม่สามารถก่อเหตุแบบนี้ได้ แต่หากมีเหตุของยาเสพติดมาเกี่ยวข้อง ทำให้คนเหล่านี้มักใช้วิธีการแบบนี้ เพื่อแสดงออกให้สังคมรับรู้ว่า พวกเขาเองก็สามารถกระทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้สังคมต้องจดจบ ซี่งเป็นพฤติกรรมของคนเหล่านี้” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่ง บำบัดรักษา ฟื้นฟู ผู้ติดยาเสพติดโดยเร็ว จากสถิติตอนนี้ ชี้ชัดว่า รัฐไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่มีสถานฟื้นฟู ปล่อยปะละเลย ซึ่งหน้าที่สำคัญของการฟื้นฟู เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องเข้ามาเป็นจัดการดูแล พร้อมขอเรียกร้องไปเจ้ากระทรวงว่าไปทำอะไรอยู่ รวมทั้งยังมีการเสนอนโยบาย ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ากัญชาเสรี และไม่ใช่สายเสพติด ทั้งๆที่กัญชาเป็นพืชที่ต้องควบคุมพิเศษ เพราะมีสารเสพติดในตัวของมัน ซึ่งสร้างความสับสนลังเลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ

ประเด็นต่อมาคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของผู้ที่มีอาวุธประจำกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเราต้องกลับมาทบทวนว่า ใครที่ควรถือครองอาวุธปืน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจถือครองอาวุธ โดยกรณีนี้ผู้ก่อเหตุถูกไล่ออกจากราชการ ซึ่งจะต้องมีมาตราการรองรับอย่างเข้มข้น เช่นเดียวกับกรณีกราดยิงโคราช ที่ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ที่สามารถถือครองอาวุธปืน

อีกทั้ง น.พ.ชลน่าน ยังเรียกร้องเรื่องของการลงโทษข้าราชการ ให้มีการประเมินสภาพจิตใจของข้าราชการที่ถูกลงโทษ และโอกาสในการก่อเหตุ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ถือครองอาวุธ ต้องมีขั้นตอนในการประเมินสภาพบุคคล และจิตใจอย่างชัดเจนเด่นชัด กรณีหน่วยงานเหล่านี้ ต้องใช้คนที่มีใช้อำนาจ การคัดเลือกคน ต้องมีความชัดเจน ว่าจะไม่มีความเสี่ยงที่จะก่อเหตุความรุนแรง ต้องประเมินสภาพทางจิต รวมทั้งต้องประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพราะเป็นอีกสิ่งที่สำคัญ ที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดการก่อเหตุร้ายขึ้นมา ต้องไปตรวจสอบ และประเมินในการแก้ปัญหา รวมถึงมาตราการในการระงับยับยั้งการก่อเหตุ ต้องมีวิธีการแจ้งเตือนที่ว่องไว ให้ทันท่วงที ทั้งในพื้นที่ อบต. และหน่วยงานต่างๆ ในชุมชน เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดในกรณีนี้ยังบ่งชี้ว่า เป็นสังคมที่มีภาวะกดทับ หรือกดดันอย่างมากมาย โดนเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่เห็นได้ชัด ว่ามีการเปลี่ยนไปเยอะมาก เช่น สมาธิสั้น อารามร้อน การปัญหาด้วยความรุนแรง โดยจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เด็กกลุ่มนี้ถูกกดทับขับไล่ออกจากระบบการศึกษาปกติ ซึ่งความผิดที่ถูกกล่าวหาหา ก่อเหตุปัญหา และมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

จากการศึกษาครั้งนี้ ทางพรรคเพื่อไทยมีนโยบายด้านการศึกษาอยู่แล้ว และจะนำเรื่องนี้เข้าสู่นโยบายของพรรค เพื่อรองรับแก่เด็กเหล่านี่ รวมถึงฟื้นฟู เยียวยาเด็กกลุ่มนี้อย่างชัดเจน ให้กลับเข้าสู่สภาพสังคมปกติ และสามารถสร้างงานสร้างอาชีพได้

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทย ให้ความสนใจ และความสำคัญต่อการพัฒนาชีวิต โดยเฉพาะนโยบายด้านยาเสพติด เราจะประกาศสงครามกับยาเสพติด ซึ่งเคยทำมาแล้ว จะกำจัดให้สิ้น และจะเป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ผู้ปกครอง พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยเอาจริง เกี่ยวกับนโยบายด้านยาเสพติด และจะไม่ยอมปล่อยให้เยาวชนข้องเกี่ยวกับยาเสพติดได้

การเยียวยาต้องเร่งรัดให้รวดเร็ว การเยียวยาสภาพจิตใจคือสิ่งสำคัญ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปจัดการดูแล

ด้าน ดร.ลิณธิภรณ์ ระบุว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีอยู่ในทุกรัฐบาล ตามที่นายกฯ เคยกล่าว แต่ถ้าเปียบเทียบตัวเลขที่ชัดเจน จะเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขได้ แต่สถิติตัวเลของอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ชัดว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ มีคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โควิด ทำให้ผู้คนว่างงาน หรือตกงาน และหันไปพึ่งยาเสพติดมากขึ้น ซึ่งดูจากตัวเลขผู้ถูกจับกุมในคดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมากถึง 349,511 คน มากกว่าปี 2563 กว่าเท่าตัว

ต่อมา คือการจัดการปัญหาที่ไม่รอบคอบ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องการครอบครองอาวุธปืน และขอให้มีการทบทวนการครอบครองใบอนุญาต โดยเฉพาะของเจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไปที่ขอครอบครองอาวุธปืน รวมทั้งการค้าขายปืนเถื่อน เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปจัดการ เพื่อป้องการการก่อเหตุในอนาคต ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีกรณีของเจ้าหน้าที่รัฐก่อเหตุ ถึง4 ครั้ง และไทยยังติดอันดับการเสียชีวิตจากอาวุธปืนในอันดับที่ 15 ของโลก

สิ่งสุดท้ายคือกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และปัญหายาเสพติด โดย ดร. ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า คือการปัดความรับผิดชอบในฝ่ายบริหารโดยแท้จริง ซึ่งฝ่ายบริหารจะต้องไม่ละเลย ต้องดูว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร มาจากเรื่อง และปัญหายาเสพติดที่กำลังจะกระทบโครงสร้างส่วนใหญ่ของสังคมไทย

“เมื่อราคายาเสพบ้ามีราคาเท่ากับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และขอฝากไว้เป็นคำถามให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาอีกด้วย” ดร. ลิณธิภรณ์กล่าว

Related Posts

Send this to a friend