‘ณัฐวุฒิ‘ ขอบคุณคนรุ่นใหม่ไม่ลืมคนเสื้อแดงที่ผ่านการดูถูกทับถม
‘ณัฐวุฒิ‘ เสียงสั่นขอบคุณคนรุ่นใหม่ไม่ลืมคนเสื้อแดงที่ผ่านการดูถูกทับถม เผยวันนี้สีเสื้อไม่ชัดเหมือนเก่าแต่ “แม้รูปการเปลี่ยน รากแก้วยังเหมือนเดิม” ลั่น เพื่อนร่วมสู้เปลี่ยนวิถีการเมืองเป็นสิทธิ แต่ขออย่าลืมที่เคยกอดคอกันมา
วันนี้ (2 ก.พ. 67) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมชมนิทรรศการรำลึกถึงคนเสื้อแดงที่จัดโดยองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ที่รวบรวมหน้าข่าวและสิ่งของที่ใช้ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งแต่ช่วงต่อต้านการรัฐประหารปี 2549 จนถึงเหตุสลายการชุมนุมปี 2553 เช่น หนังสือพิมพ์ เสื้อที่ใช้ในการชุมนุม ตีนตบ บัตรประจำตัว แผ่นซีดีเวทีปราศรัย หนังสือที่ตีพิมพ์ในช่วงการชุมนุม เป็นต้น
จากนั้นนายณัฐวุฒิ ร่วมเวทีเสวนา “คนเสื้อแดง ภาพวาดปีศาจร้ายการเมืองไทย” กล่าวว่า ขอบคุณนักศึกษาที่นึกถึงคนเสื้อแดง หยิบประเด็นและสิ่งของมาจัดแสดงเพื่อรำลึกถึงคนเสื้อแดง ตนเองได้เข้าไปดูนิทรรศการแล้ว รู้สึกชื่นชมผู้รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ เรื่องราวข่าวสารเอาไว้อย่างอบอุ่น สำหรับท่านเมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หรือหนังสือต่างๆ แม้ภาพนั้นจะเป็นภาพนิ่ง แต่สำหรับตนมันเป็นภาพเคลื่อนไหว มีความรู้สึก มีอารมณ์ทั้งหมดอยู่ในนั้น โดยเฉพาะโดยเฉพาะภาพเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ในคืนวันนั้นคือคืนที่หนักหนาที่สุดในชีวิตที่ตนได้เคยเจอ ไม่สามารถลืมทุกวินาทีในคืนนั้นได้เลย เพราะมีการล้อมปราบ ประชาชนเสียชีวิต 20 กว่าราย และเป็นการปรากฏขึ้นครั้งแรกของอาวุธปืนติดลำกล้องยิงระยะไกลจากตึกสูง
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม หากใครมาบอกตนว่ารัฐได้เตรียมอาวุธปืนแบบนั้นมาเตรียมใช้งาน ตนไม่มีทางเชื่อได้เลย แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นและยังเชื่อต่อไปด้วยว่า นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่รัฐใช้อาวุธสงครามติดลำกล้องยิงระยะไกล กับการต่อสู้ของประชาชนมือเปล่า ตนพูดแบบนี้มาตลอดและไม่เคยมีเสียงปฏิเสธจากผู้มีอำนาจในเวลานั้น
“ในความรู้สึกมันมีภาพแต่ละเหตุการณ์วิ่งเข้ามาปะทะในความทรงจำเมื่อสักครู่ และอยากจะบอกกับน้องๆ และทุกท่านว่า เรื่องราวของคนเสื้อแดงมีอีกหลายแง่มุมเหลือเกิน สำหรับผู้สนใจที่จะติดตามค้นคว้าหรือมีได้จากทุกแหล่ง และสอบถามจากคนเสื้อแดงคนไหนก็ได้ จะได้เหตุการณ์และข้อมูลที่ไม่แตกต่างกัน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ภาพคืนวันที่ 10 เมษายน คือภาพที่เจ็บปวดที่สุดของตนในนิทรรศการ ที่คืนนั้นตนอยู่จนถึงเช้า ตนเป็นคนดูแลสถานการณ์นั้น เป็นคนคุยกับรัฐเพื่อให้ยุติการใช้ความรุนแรง เป็นคนปลอบประโลมและคุยกับญาติมิตรของผู้ถูกยิง ทุกอย่างโกลาหลและเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มันระงมไปด้วยเสียงร้องไห้ เสื้อของตนเปียกน้ำตาไปหมด เสื้อที่เปียกน้ำตาประชาชนวันนั้นมันหนาว แม้เราจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ไม่มีอะไรหนาวเท่าน้ำตาของประชาชนเลย
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า คนเสื้อแดงเคยเป็นคนแปลกหน้าในการต่อสู้ทางการเมืองของไทย เราไม่เคยยึดขนบอะไรเลย อยากพูดเรื่องอะไรก็พูด อยากแสดงออกอย่างไรก็ทำ เราเต้นได้ทุกที่ ตำส้มตำ กางผ้าถุงกลางแยกราชประสงค์ สิ่งที่คนเมืองมองพวกเราคือ ม็อบรับจ้าง ทาสทักษิณ ม็อบไร้การศึกษา หรืออีกหลายวาทะกรรมที่มาแปะบนเสื้อสีนี้ เพื่อให้สิ่งที่เขาพูดดูไร้ค่า จนชีวิตพวกเราดูไร้ค่าไปด้วย เราโดนยิงทิ้ง ชีวิตไม่มีค่า รัฐไม่เคยยอมรับว่าได้กระทำความรุนแรงต่อเรา
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่า การที่เรื่องราวของคนเสื้อแดงถูกหยิบมาพูดถึงเมื่อปี 2563 มันมีค่ามากสำหรับคนที่ผ่านอะไรมา ในเวลานั้นตนอยู่ในเรือนจำ ยังจำได้ดีว่าพี่น้องที่ไปเยี่ยมบอกว่า
“เฮ้ย เต้น ที่จุฬาฯ ใต้ตึกคณะอักษรฯ นิสิตเค้าพูดถึงคนเสื้อแดง เขาเอาคำปราศรัยเสียงจากดินถึงฟ้าของผมไปพูด แล้วนิสิตด้วยกันที่เป็นผู้ฟังก็ปรบมือให้กำลังใจ หลังจากนั้นในออนไลน์ก็มีการเอ่ยปากขอโทษคนเสื้อแดง เอ่ยปากเรียกหาคนเสื้อแดง แสดงความเข้าใจ เห็นใจ ผมร้องไห้เลย” นายณัฐวุฒิมีน้ำเสียงสั่นเครือ และหยุดพูดสักครู่หนึ่ง
เมื่อถามว่าตอนนี้สงครามสีเสื้อจบไปแล้วหรือไม่ นายณัฐวุฒิ มองว่า การใช้สีเสื้อเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้มันอาจไม่คมชัดเหมือนในสมัยก่อนแล้ว แต่หากถามว่าการต่อสู้มันจบหรือยัง มันยังไม่จบ เพราะเขาไม่ได้ต่อสู้เรื่องสีเสื้อ แต่ต่อสู้เรื่องความคิด อุดมการณ์ทางการเมือง เรื่องหลักการที่ถูกต้องของสังคม และการต่อสู้นี้จะไม่ยุติในทุกสังคม ไม่ว่าสังคมใดก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างแนวคิดแบบเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมยังคงเผชิญหน้ากันอยู่เป็นปกติ ทุกประเทศมีสองที่ความคิดนี้ขับเคี่ยวกันอยู่และหักล้างกัน เพียงแต่ว่าในประเทศอื่นนั้นอาจจะใช้กำลังเสร็จแล้ว แต่ของเรานั้นยังไม่จบ
นายณัฐวุฒิ มองว่า ประเทศอื่นเขาหักล้างกันในสนามการเลือกตั้งและใช้กลไกของประชาธิปไตยทำให้เกิดการพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ประเทศเรายังไม่ไปไกลกว่าการใช้กระบอกปืนและรถถัง จัดการความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ คนจำนวนหนึ่งในสังคมนี้ ยังเชื่อว่าหากสังคมวุ่นวาย ทหารก็จะออกมาจัดการให้เกิดความเรียบร้อย ดังนั้นสังคมลักษณะนี้การต่อสู้จะไม่จบไป
“อาจไม่เห็นคนใส่เสื้อสีแดงเป็นหลักหมื่นออกมาเดินขบวน หรือเห็นเสื้อสีเหลืองจำนวนมากออกมาต่อต้าน แต่เราจะเห็นความคิดทางการเมืองของผู้คน ซึ่งแยกทิศทางได้ชัดว่าแนวคิดทางการเมืองแบบนี้น่าจะเป็นพวกอีกแบบหนึ่ง และแม้รูปการจะเปลี่ยนแต่รากแก้วยังไม่เปลี่ยน ยังเป็นสถานการณ์การต่อสู้กันอยู่” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่า วันนี้สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนไปจนแม้กระทั่งตัวเราอาจจะไม่รู้จักตัวเอง แม้แต่พี่น้องที่เคยต่อสู้ด้วยกันอาจจะกลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน แม้แต่คนที่เคยกอดคอฝ่าดงกระสุนแล้วรอดชีวิตมาจนปัจจุบัน ก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถจะร่วมวงสนทนาเรื่องการเมืองหรือเรื่องการต่อสู้กันได้อีก
หากใครก็ตามเดินมาถึงจุดนั้น ตนเคารพในเสรีภาพของทุกคน แต่อยากจะให้ทุกคนเก็บเอาความเป็นคนเสื้อแดง เอาเกียรติยศศักดิ์ศรีของนักสู้ประชาชนไว้กับตัวท่าน จะตัดสินใจอย่างไร จะเลือกวิถีทางการเมืองแบบไหนเป็นสิทธิ แต่ว่าอย่าได้ทอดทิ้งหรือหลงลืมวิถีของพวกเรา ที่เราเดินกันมา
“ผมเคยคิดว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะจบไปพร้อมรอยทับถมและถ้อยคำดูแคลนของคนเหล่านั้นไปแล้ว แต่วันหนึ่งคนหนุ่มสาวเมื่อปี 2563 ก็นำคนเสื้อแดงกลับมา ผมเป็นหนี้บุญคุณคนหนุ่มสาวยุคนี้ และผมไม่ลังเลที่จะหาทางตอบแทนบุญคุณพวกเขาอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่หนี้ส่วนตัว แต่มันเป็นหนี้ในนามของคนเสื้อแดง ที่เราได้ถูกหยิบกลับมาพูดถึง และอธิบายความหมายมันใหม่ อยากบอกพี่น้องว่าไม่มีสักวันเลยที่ตนจะลืมความเป็นคนเสื้อแดง ผมจะไม่ละเลยหรือหลงลืมความเจ็บปวดของคนเสื้อแดง”