PEOPLE

เปิดชีวิต “จอม เพชรประดับ” บนเส้นทางการเป็นผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา

เปิดชีวิต “จอม เพชรประดับ” บนเส้นทางการเป็นผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ยอมจบชีวิตสื่อ มาเป็นผู้ลี้ภัย นักกิจกรรมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ง่าย ต้องเป็นโรบินฮู้ด ทำงานใช้แรงงานทุกประเภท ทั้งขับแทกซี่ ขายกล้วยทอด จนมาถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่ต่างจากคนใช้ส่วนตัว แต่มีเสรีภาพที่ยังยืนหยัดในเส้นทางเพื่อประชาธิปไตย ส่วนความหวังกลับไทย อาจยังเลือนลาง แม้ไม่ถูกดำเนินคดี 112 แต่หากยังไม่ยกเลิกหรือแก้ไข ก็ยังไม่ปลอดภัยหากกลับประเทศไทย

“ไม่เคยคิดจะมาอยู่เป็นผู้ลี้ภัยหรือมาปักหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจัยการเมือง เพราะรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ทำให้ต้องเดินเส้นทางที่ไม่มีใครอยากเดิน ต้องเสี่ยงสูญเสียและสูญสิ้นชีวิต แต่ไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้น”

จอม เพชรประดับ ในวัย 60 ปี เปิดเผยถึงเหตุผลที่ให้เขาต้องลี้ภัยจากประเทศไทย มายังสหรัฐอเมริกา เมื่อกว่า 8 ปีก่อน

“เหตุรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 จะนำไปสู่การถอยหลังทางการเมืองรุนแรงที่สุดในชีวิตผม ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม และยากจะเปลี่ยยนแปลง ด้วยศักยภาพหรือวิธีการและโครงสร้างการจัดการของสื่อไทย ไม่มีพลังให้เปลี่ยนแปลงได้ อย่าง 28 ปีที่เราเป็นนักข่าว เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะสุดท้ายก็วนกลับมาเหมือนเดิม ไม่สามารถปรับไปสู่การแก้ไขปัญหา ผมจึงตัดสินใจจบชีวิตสื่อดีกว่า แล้วมาเคลื่อนไหนการเมือง ซึ่งตอนแรกว่าจะไปอยู่ชายเขา ชายป่า พักผ่อนก่อนช่วงหนึ่ง จนมีคนชวนมาทำเพื่อบ้านเมือง จึงตัดสินใจลี้ภัยดีกว่า”

จอม เล่าว่า แม้เวลานั้น จะยังไม่ถูกดำเนินคดี แต่รู้อยู่แล้วว่าชะตากรรมของตัวเอง ต้องถูกรายงานตัวกับคสช. เพราะมีคนเตือนว่าเป็นหนึ่งในคนที่จะถูกเรียกตัว เนื่องจากทำงานอยู่ช่อง 11 และ วอยซ์ทีวี โดยตอนแรกตั้งใจจะมาพักผ่อนที่สหรัฐอเมริกา แต่มีจุดหักเห ที่มีคนชวนไปทำงานเพื่อบ้านเมือง จึงต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยในที่สุด

“พอมาอยู่อเมริกา ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก็มีหมายเรียกไปที่บ้านให้ไปรายงานตัวกับ คสช. ถ้าผมจะมีคดีก็มีคดีเดียว คือคดีไม่ไปรายงานตัวต่อ คสช. ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการไปคุกคามที่บ้าน ส่วนตัวไม่มีคดี 112 แต่เมื่อมาลี้ภัยอยู่อเมริกา ใช้ประสบการณ์การเป็นสื่อ ในการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกาารเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของประเทศไปอยู่ในมือประาชนอย่างแท้จริง และส่วนหนึ่งมีการพูดถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงน่าจะเป็นเหตุผลว่าไม่สามารถกลับประเทศไทยได้ หากไม่มีการยกเลิก หรือแก้ไขมาตรา 112 เพราะไม่ปลอดภัยหากจะมีใครจะมาใช้เป็นข้ออ้างในการดำเนินคดี”

จอม เพชรประดับ ยืนยันว่า แม้เขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง แต่ความไม่ปลอดภัยในการทำงานสื่อมวลชนได้อย่างมีเสรีภาพในประเทศไทย ทำให้เขาต้องตัดสินใจยุติบทบาทสื่อ แล้วมาเป็นนักกิจกรรมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแทน และเขาไม่ได้ถูกดำเนินคดี 112 แต่จากการวิพากษ์วิจารณ์ การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเขากลับประเทศไทยโดยยังไม่มีการยกเลิกหรือแก้ไข ก็อาจถูกผู้ไม่หวังดี นำมากลั่นแกล้งได้

“ตอนผมออกมาในช่วงนั้น ก็ขึ้นเครื่องบินมาปกติ เพราะเรายังไม่มีคดี และต้องยอมรับว่าการอยู่อเมริกา ช่วง 8-9 ปีก็ยากมาก ไม่เหมือนบางประเทศในยุโรป ที่ต้อนรับผู้ลี้ภัย เพราะประเทศนี้ไม่มีนโยบายชัดในการสนับสนุนผู้ลี้ภัย แต่ในทางปฏิบัติมีคนมาทุกวัน ถ้าประกาศรับแบบประเทศอื่น ทำให้คนมากขึ้น คนอเมริกันก็หลากหลายพออยู่แล้ว ก็ให้มาดิ้นรนเอาเองในการขอสถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งยากมาก เพราะอาจต้องใช้เวลา2-3 ปี และคุณต้องหาเลี้ยงชีพดูแลตัวเอง จนกว่าจะได้สถานะผู้ลี้ภัย”

จอม เล่าถึงการขอลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ที่อาจยากกว่าประเทศในยุโรป แต่ทำไมถึงเป็น “สหรัฐอเมริกา”

“เหตุผลแรกเพราะเคยมาเรียนและพอมีเพื่อนอยู่บ้าง และการเมืองอเมริกา เราเห็นชัดว่าให้คุณค่าของความเป็นคน ให้เสรีภาพของคนที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญเขามีกฏหมาย คุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่แข็งแรงพอ ความมีเสรีภาพประเทศนี้ เขาพร้อมจะรักษาไว้ และให้ทุกคนต่อสู้เพื่อรักษาอุดมการณ์ของประเทศนี้ เป็นเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งเราต้องการสิ่งนี้อยู่แล้ว จึงเลือกมาประเทศนี้ และพอมีคนรู้จักที่พอช่วยเหลือ มีอาหารกิน คนที่นี่ก็ให้การช่วยเหลือ”

จอม ยอมรับว่า เกือบ 3 ปีกว่าจะได้สถานะผู้ลี้ภัย เขาต้องทำทุกอย่าง ทำงานร้านอาหาร ขับรถแทกซี่ จนกระทั่งขายอาหารข้างทาง เช่น กล้วยแขก ก็ทำมาหมดแล้วต้องทำงานใช้แรงงานทุกประเทศ เพราะเราต้องหาเงินเลี้ยงชีพให้ได้ ก่อนได้สถานะผู้ลี้ภัย

“การได้สถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐฯ (Political Asylum) จะมีบัตรให้ทำงานได้ ได้อาหาร เป็น Food Stamp สามารถไปหาซื้ออาหาร อาทิตย์ละ 218 เหรียญ ก็ได้มาประมาณ 2 ปี จนเรามีรายได้เกินเส้นความยากจน ที่ต้องมากกว่า 2,000 เหรียญ ถ้าได้เกินก็จะงด ส่วนประกันสุขภาพ จะได้บัตรดูแลสุขภาพฟรีตามเกณฑ์ ในฐานะผู้ลี้ภัย ถ้ามีครอบครัวและลูก จะมีค่าที่พักด้วย”
จอม บอกว่า ในช่วงก่อนจะได้บัตรผู้ลี้ภัย ต้องทำงานเพื่อหาเงินจ่ายที่พัก และต้องใช้ชีวิตแบบโรบินฮู้ด ต้องอยู่แบบผิดกฏหมายมาเกือบ 3 ปี ก็มีไปอาศัยบ้านคนไทยที่รักประชาธิปไตยบ้าง ก็ต้องขอบคุณทุกท่านมากๆ

“ช่วงเวลาลำบากที่สุด คือช่วงที่เราป่วยกระดูกทับเส้นประสาท เดินไม่ได้ ต้องนอนคนเดียว เรียกรถฉุกเฉินไปหาหมอเอง ตอนนั้นก็รู้สึกว่า ชีวิตที่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ในวัยกว่า 50 ปี มันไม่โอเคเลย”

จอม ยอมรับว่า การนับหนึ่งใหม่ในชีวิตในวัย 50 กว่าปี มันไม่โอเคเลย ชีวิตของตนเอง จึงเปลี่ยนแปลงหลัง 22 พ.ค.57 เหมือนเริ่มต้นศูนย์ บางทีเหมือนติดลบ

“เราเป็นตัวเชื้อโรคของสังคมไทย แม้แต่คนที่นี่ ในช่วงแรก ก็ไม่ได้อยากจะต้อนรับเรา เราเหมือนตัวไวรัส ที่ไม่มีใครมาสังสรรค์กับเรา ทุกคนกลัว มาแล้วไม่อยากให้ถ่ายรูป ตอนนั้นก็รู้สึกนะ คือกูสิ้นเนื้อประดาตัวมาจากไทยแล้ว ยังมีคนรู้สึกอย่างนี้อีกเหรอ มันก็เป็นความรู้สึกช่วง 1-2 ปีแรก แต่พอมา 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น แต่กว่าจะผ่านมาได้ จากคนที่เคยมีที่อยู่ที่กินเป็นหลักแหล่ง มีที่ซุกหัวนอน กลับกลายเป็นคนที่กินเงินของรัฐ ขอนอนไปตามบ้านคนไปเรื่อยๆ ก็มีข้อระแวงตลอด”

จอม รู้สึกว่าในช่วงเวลานั้น ตนเองเป็นเหมือนตัวเชื้อโรค ไม่มีใครอยากสังสรรค์ เป็นชีวิตที่ลำบาก กดดัน สิ้นหวัง จนกลายเป็นคนซึมเศร้า และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ดีขึ้น

“เรานิ่งพอ เราเลือกแล้ว เราปฏิเสธอำนาจในประเทศไทย มาอยู่ในประเทศที่มีที่ยืนที่ตัวตนมีความหมาย มีเสรีภาพที่จะพูด จะคิด มากกว่าในสังคมที่ยังมองคนไม่เท่ากัน เราได้พื้นที่ปลอดภัยที่จะแสดงออกได้ แต่เป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายสูงมาก การได้มาเพื่อเสรีภาพในประเทศนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุน อาจเท่ากับที่เราเคยสร้างมากตลอดชีวิตก็ได้”

จอม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้บัตรกรีนการ์ดแล้ว ไม่ได้มีสถานะผู้ลี้ภัย สามารถทำงานได้มากขึ้น และเมื่อได้กรีนการ์ดครบ 5 ปี ก็จะได้เป็น Citizen ได้เป็นพลเมืองอเมริกัน ได้มีสิทธิเลือกตั้งแล้ว เขาจึงต้องวางแผนชีวิตในวัยเกษียณ ที่อาจไม่มีโอกาสได้กลับประเทศไทยแล้ว

“ตอนนี้ทำงานผม Care provider ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ตามบ้าน ตามเมืองต่างๆ จนปัจจุบันมาทำให้เฉพาะคนเดียว ดูแลทุกอย่าง ทั้งเตรียมอาหารเตรียมยาทำความสะอาด ก็สบายขึ้น ต้องดูแลอาหาร ยา ทำความสะอาดร่างกาย ก็เป็นคนใช้ส่วนตัวจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ต้องดูแลตลอด 24 ชม. เหมือนพยาบาลส่วนตัว การทำงานตรงนี้เรามีเวลาอัพเดทตัวเรา ช่วงผู้ป่วยนอนหลับ เราก็ยังมาทำรายกาารที่เกี่ยวกับการเมืองบ้าง ไม่มีรายได้อะไร ทำเพราะสนุกและอยากจะทำเพื่อรักษาอุดมการณ์

จอม เพชรประดับในวัย 60 ปี เขาทำงานดูแลผู้ป่วยติดเตียง และกำลังรียนการดูแลผู้ป่วยโรคไต หลังเวลาทำงานเขาต้องเรียนออนไลน์ เรียนการควบคุมอุปกรณ์สำหรับคนป่วยโรคไต เป็นหนึ่งในสาขาแพทย์ โดยเขาเรียนระบบการล้างไต ซึ่งมีหลักสูตร 6 เดือน ผ่านออนไลน์ในคลาส 3 เดือน และ 3 เดือน ต้องไปฝึกงานที่คลินิก ก่อนจะทำงานจริงได้ ซึ่งก็จะมีเวลาในช่วง 5 ปี ก่อนอายุ 65 ที่จะได้สิทธิผู้สูงวัย เราก็จะมีงานตรงนี้ทำเป็นอาชีพหนึ่ง

“พอ อายุ 65 ปี พี่จะได้สวัสดิการจากรัฐ อีก 5 ปีนับจากนี้ ก็จะทำงานดูแลคนป่วย ก็ต้องหาคนป่วยใหม่ น่าจะมีงานนติดตัว วิชานี้อาจช่วยดูแลสุขภาพเราได้ โรคไตก็มีเยอะ งานอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ Health care รายได้ดี ชั่วโมงละ 22-25 เหรียญ ทำวันละ3 ชม. เราก็พอได้เงินมาดูแลตัวเอง ที่อยู่คนเดียว”

จอม ยืนยันว่า ยังมีความหวังที่จะได้กลับประเทศไทย แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หากไม่ยกเลิก หรือแก้ไข 112 ผู้ลี้ภัยอย่างเขา แม้ไม่มีคดีนี้ ก็ยังไม่กล้ากลับประเทศไทย

“ก็คิดทุกวันว่าอยากกลับประเทศไทย แต่ความเป็นจริง อาจจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่รู้จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ถึงไหม อาจต้องใช้เวลาหลายปี ประเทศไทยจึงจะปลอดภัยสำหรับเรา ดังนั้นเราต้องคิดว่าเราจะอยู่ประเทศนี้จนวันตาย ทำให้เราไม่ต้องกังวลการได้กลับประเทศไทย อาจเป็นการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็เป็นไปได้ ก็เลยไม่ได้ตั้งความหวังไว้ ทุกวันนี้คือทำยังไงก็ได้ให้มั่นคงที่สุดในการอยู่ประเทศนี้”

Related Posts

Send this to a friend