PEOPLE

เผยวิสัยทัศน์ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ลงชิงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. อาสาเป็นวาทยากร ดึงสมาชิกร่วมแก้ไขปัญหา พัฒนาอุตสาหกรรม

เผยวิสัยทัศน์ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ CEO บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ลงชิงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. อาสาเป็นวาทยากร ร้อยเรียงศักยภาพสมาชิกเป็นหนึ่งเดียว ดึงความสามารถร่วมแก้ไขปัญหา พัฒนาวงการอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และสังคมของไทย

มองในช่วง 5 ปีนี้ หากไทยไม่ขยับประเทศเพื่อนบ้านที่มีต่างชาติไปลงทุนจะทิ้งเราไว้ข้างหลัง ชี้ ส.อ.ท. จะเป็นส่วนสำคัญในการทำ Bottom-up จากสมาชิกผู้มีประสบการณ์ และอยู่ในวงการ เชื่อ หากทิศทางชัด ไทยจะผงาดในเวทีโลก และเป็นที่สนใจของต่างชาติมากขึ้น

หลังจากประกาศลงสมัคร ท้าชิงตำแหน่ง ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อย่างเป็นทางการ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยวิสัยทัศน์ และทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยกับ The Reporters ว่า ภายใน ส.อ.ท. มีสมาชิกที่เป็นคนเก่งมากมายจาก 46 อุตสาหกรรมหลัก ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ปัจจุบัน ยังขาดการนำศักยภาพทั้งหมดมาร้อยเรียง และดึงมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงลงสนามเลือกตั้งในครั้งนี้ เพื่ออาสามาทำหน้าที่เป็นวาทยากร ร้อยเรียงทุกเครื่องดนตรี และเสียงอันไพเราะจากนักดนตรีที่มีความสามารถทุกคนออกมาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ

“การจะเกิดเรื่องเหล่านี้ได้ ต้องเกิดการรวมตัวกันของสมาชิก ทุกคนต้องอยากทำไปพร้อมกัน เล่นเป็นวงเดียวกัน หากสมาชิกทุกคนเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน เกิดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศที่รัฐบาลได้ทำไว้จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน อุตสาหกรรมไทยเข้มแข็ง และจะโดดเด่นในระดับนานาชาติได้ โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้าไม่ทำวันนี้ ก็เหมือนอยู่กับที่แล้วคนอื่นวิ่งแซงเราทีละคน โอกาสของเราก็จะน้อยลง” นายสมโภชน์ กล่าว

นายสมโภชน์ ย้ำว่า การจะเติบโตเข้มแข็ง จำเป็นต้องมีทั้ง bottom-up และ top-down ซึ่ง ส.อ.ท. จะเป็นผู้ทำ bottom-up ได้ดี เพราะสมาชิกเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบกาณณ์จริง มีความสามารถ อยู่ในสนามจริง จึงรู้สถานการณ์ดีมาก ถ้า bottom-up คือคนเหล่านี้มาสนับสนุน มาให้ข้อมูล ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วน top-down คือ จำเป็นที่จะต้องให้รัฐบาลเข้าใจปัญหา และรู้ว่าแนวทางแบบไหนที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะข้างบนมีอำนาจที่จะสั่งการให้องคาพยพราชการเข้ามาสนับสนุนในองค์กรต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าช่วยกันจะเร็วขึ้น และแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น

ทำอย่างไร ไทยจึงก้าวไปเป็นแถวหน้าในระดับโลกได้

สำหรับการพัฒนาอุตสหากรรมไทยในที่ทางของการแข่งขันระดับโลก นายสมโภชน์ มองว่าในวันนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่ในจุดที่ค่อนข้างเหนื่อย เพราะมาจากประเทศที่ได้การส่งเสริมการลงทุนมาจากต่างประเทศ จึงมี Foreign direct investment (FDI) เข้ามาเยอะ ในช่วงที่ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมา 30 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นการลงทุนจากต่างประเทศที่เป็น mega project แทบจะไม่เข้ามาในไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อบ้านอย่างกัมพูชา

นายสมโภชน์ กล่าวต่อไปว่า เราค่อนข้างเป็น basic industry ถ้าเป็นอุตสาหกรรรมใหญ่ที่เข้ามา ก็เป็นรับจ้างประกอบเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อดีอย่างหนึ่ง ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนำหน้าประเทศเพื่อนบ้านไปเยอะ ทั้งเรื่องถนนหนทาง โลจิสติกส์ พลังงาน ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องค่าพลังงาน ความสะอาดของพลังงานที่ใช้บ้าง แต่ก็มีความท้าทายอยู่ เพราะอุตสาหกรรมไทยค่อนข้างใช้แรงงานเยอะ ขณะที่มีประชากรลดลง จึงต้องนำแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาทำงาน เหมือนกับอุตสาหกรรมไทยมาถึงจุดอิ่มตัว และต้องการการอัปเกรดอย่างรุนแรง เพื่อทำอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงอาจจะต้องให้เกิดสินค้าที่เกิดขึ้นโดยคนไทยมากขึ้น

“ผมคิดว่าในช่วงเวลาไม่เกิน 5 ปี อุตสาหกรรมเพื่อนบ้านเราที่ต่างชาติไปลงทุน จะไล่เราทัน ถ้าเราไม่ใช้โอกาสที่เรามีตอนนี้ ถึงวันนั้นเราจะล้าหลัง ล้าสมัย และเราจะไม่มีจุดขายของประเทศที่ทำให้จะต้องมาเมืองไทย จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมอยากจะเข้ามาเป็นประธาน ส.อ.ท. อยากจะดึงคนเก่ง ๆ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ อยากเป็นคนที่ไปช่วยคุยกับรัฐบาลเพื่อมาทำร่วมกัน ให้อุตสาหกรรมไทยไปถึงอีกขึ้นหนึ่ง วันนี้เราไม่มีเวลาแล้วที่จะมาพูดว่าวิสัยทัศน์คืออะไร แต่ต้องพูดว่าเราจะทำอย่างไร และเสร็จเมื่อไหร่”

โลกเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมไทยควรปรับตัวอย่างไร

นายสมโภชน์ กล่าวว่า ในวันนี้เราโตมาด้วยบุญเก่า และบุญเก่ากำลังจะหมด จุดนี้ทำให้เราต้องหันมาคิดวิเคราะห์กันว่าเรามีอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง ต้องเอาของที่เรามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิด New S Curve บนพื้นฐานของอุตสาหกรรมเก่า อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งโรงงานประกอบรถยนต์เริ่มไปตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนบ้านเราไม่ได้โดนย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ตนเองจึงใช้โอกาสตรงนี้ ช่วงเดียวกับที่เราสามารถเข้าถึงชิ้นส่วนยานยนต์มาสร้างธุรกิจใหม่ขึ้น แต่อีกด้านก็ช่วยอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็ก อย่าง SMEs ที่ไม่มีศักยภาพย้ายไปประเทศอื่นให้อยู่รอดได้ มองว่าอุตสาหกรรมอื่นก็เช่นกัน

นายสมโภชน์ เปรียบเทียบสถานการณ์ของอุตสาหกรรมไทยว่า ขณะนี้เหมือนเราเป็นมะเร็งระยะแรก อาจจะยังไม่วิกฤตถึงขั้นเสียชีวิต แต่ถ้าไม่ทำอะไร เราจะค่อย ๆ เป็นเป็นมะเร็งขั้นที่สูงขึ้น การแก้ปัญหาจะยากขึ้นเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นเป็นความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องหันหน้ามาและบอกว่า จะแก้ปัญหายังไง คนที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือผู้ประกอบการที่อยู่ตรงนั้น แต่บางอย่างรัฐต้องช่วย บางอย่างต้องใช้เวลา การปรับตัวทุกครั้งล้วนเป็นการลงทุนที่ทำให้เราแข็งแรงขึ้นในระยะยาว ถ้ารัฐช่วยอย่างจริงจัง และให้เวลา สิ่งเหล่านี้ถึงจะเกิด

มองทิศทางการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า

นายสมโภชน์ ย้ำว่า ไทยต้องมี SMEs เยอะ ๆ หากไม่มี SMEs อุตสาหกรรมใหม่ ๆ จะไม่เกิดขึ้นในประเทศ เขาจำเป็นต้องมีคนอุ้ม คนที่จะอุ้มหรือสนับสนุนก็ต้องมีเมก้าธีม (mega theme) ประเทศที่พัฒนาแล้ว ถึงจุด ๆ หนึ่งจะต้องมีแนวคิดที่จะลงทุนขนาดใหญ่ เป็นธีมใหญ่ ๆ อย่างมาเลเซีย เขาไม่ค่อยลงทุนเยอะ แต่มาทีมาเป็นก้อนใหญ่ ๆ เพราะรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในเรื่องนั้น ๆ ทำให้ผู้ประกอบการมองเห็นถึงศักยภาพของตลาด

“เรื่อง soft power บอกว่าอยากสนับสนุนสินค้าไทย ถ้าวันนี้ไทยมีนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน จากเมื่อก่อน 50-60 ล้านคน เราตั้งโจทย์ว่าทุกคนจะเข้ามาประเทศไทย ต้องถือผ้าขาวม้าคนละผืนกลับไป ปีหนึ่ง 30 ล้านผืนทันที ถ้ามันมีธีมลักษณะนี้เกิดขึ้น คนที่เป็น SMEs ก็กล้าคิดใหญ่ว่าจะลงทุนอย่างไร เห็นตลาด 30 ล้านคน ต้องทำคุณภาพให้ดีขึ้นอย่างไร” สมโภชน์ กล่าว

นายสมโภชน์ อธิบายต่อ ว่าหากรัฐบาลจะทำรถ EV ต้องบอกว่าปีนี้จะทำอย่างไร เปลี่ยนเป็นแบบไหนในกี่ปี มาทั้งแผงตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ผู้ประกอบการเมืองนอกจะรู้สึกว่าตลาดไทยน่าสนใจ แต่ด้านเดียวกัน พอทำแบบนี้แล้วอุตสาหกรรมรถสันดาปภายในก็ได้รับผลกระทบ ถ้าคิดไว้ก่อนว่าเขาจะเสียประโยชน์ รัฐบาลต้องมีนโยบายที่จะทำรถสันดาปภายในอย่างไร จะช่วยเหลืออย่างไร การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นรถไฟฟ้าหมด บางประเทศไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็ต้องใช้รถสันดาปภายใน เราก็ต้องทำให้เป็นรถสันดาปภายในที่มีประสิทธิภาพ มีการประกอบ มีต้นทุนที่ถูก มีซัพพลายเชนที่ดีที่สุด เชื่อว่าทุกคนจะหันกลับมามองเมืองไทยทันที

การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

นายสมโภชน์ ย้ำว่า การขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะ SDGs, climate change และคาร์บอนเครดิต สิ่งเหล่านี้คือหัวข้อใหญ่ของโลก เราได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประเทศเรามีศักยภาพ เราเป็นประเทศแรกของโลกที่สามารถขายคาร์บอนเครดิตข้ามประเทศได้สำเร็จ  

ตอนนี้ทุกประเทศสนใจประเทศเราอยู่ เพียงแต่เรายังไม่มีสินค้าที่ชัดเจนว่าจะขายอะไร ถ้าเราช่วงชิงสิ่งที่เขามอง แล้วผลิตสินค้าตามมา จะมีเงินก้อนใหญ่มหาศาลที่รอเราอยู่ ถ้าเราเสนอเงื่อนไขว่าจะเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เขาจะให้เงินสนับสนุนเรามา เริ่มก่อน ก็ได้ก่อน แต่ถ้าเราไปทำทีหลัง เงินก้อนนี้ก็หมด แต่ก็ต้องทำอยู่ดีเพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว

ทั้งนี้ นายสมโภชน์ กล่าวถึงการลงชิงตำแหน่งว่า ตนมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้อุตสาหกรรมไทย รวมถึงเศรษฐกิจไทยดีขึ้น และอยากให้ ส.อ.ท. เป็นที่พึ่งของทุกคน โดยอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาอุตสาหกรรมไปในทางที่สร้างสรรค์ นำศักยภาพของคนเก่งของเรา อัศวินของเรา ออกมาใช้อย่างเต็มที่

“การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า เราอยากให้สภาอุตสาหกรรมของเราเป็นอย่างไร อยากให้ประเทศของเราเป็นแบบไหน ก็อยากให้สมาชิกทุกคนมาเลือกตั้ง เลือกทิศทางของเราให้เป็นไปตามทิศทางในแบบที่ทุกคนอยากให้เป็น” นายสมโภชน์ กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend