สิงห์ เอสเตท เผยแผนธุรกิจ 2566 ชูกลยุทธ์ “S EXCELS” ตั้งเป้ารายได้แตะ 1.7 หมื่นล้าน
สิงห์ เอสเตท ประกาศเดินหน้ารุกธุรกิจปี 2566 ผ่านแนวคิด “S EXCELS” ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อดันรายได้รวมสูงขึ้น 34% จากปีก่อน หรือกว่า 16,700 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าเปิดโครงการที่พักอาศัยแนวราบใหม่ อีกอย่างน้อย 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการค้าส่งสัญญาณดีต่อเนื่อง ส่วนอัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยรวมสูงถึง 90% ขณะที่ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเข้าพักรวมแตะ ระดับ All-time High ที่ 75% คาดรายได้โตทะลุหมื่นล้านในปี 2566 ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เตรียมพร้อมโตก้าวกระโดด ด้วยยอดการโอนที่ดินเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ กล่าวว่า “ปี 2565 บริษัทฯ สร้างรายได้ 12,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 62% โดยมีปัจจัยหลายประการที่ช่วยเกื้อหนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2565 ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามที่เกิดขึ้นเพียง 1 ปี หลังปรับโครงสร้างธุรกิจ และรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบอย่างเต็มตัว ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงแรมในไทย ที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ ผนวกกับแรงหนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อนหน้า กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) ที่ไต่ระดับสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่”
“ในปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท กลยุทธ์ “S EXCELS” คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ มิติแรก คือ ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ดันเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ โดยปีนี้จะสามารถสร้างรายได้รวม ของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 34% หรือมีมูลค่าแตะ 16,700 ล้านบาท มิติที่สองคือการเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี มิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่”
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยในปี 2566 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ ตอบโจทย์ Lifestyle ที่ทันสมัย บนทำเลศักยภาพ ขยายฐานเจาะตลาดหลากหลายเซกเมนต์ อีก 5 โครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง ด้วยมูลค่ารวม 5 โครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันเพื่อตอบรับความต้องการ ในตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Ready-to-move-in ได้อย่างทันท่วงที สิงห์ เอสเตทจึงขยายสัดส่วน การถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100% โดยบริษัทฯ คาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70%
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า มีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing ซึ่งนำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลาย ควบคู่กับโมเดลธุรกิจ Ready-to-move หรือการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าพร้อมใช้งาน โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ ทั้งสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง เอส โอเอซิส บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจที่เปี่ยมศักยภาพแห่งใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2 ปีนี้
กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงาน ของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ ‘SHR’ จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์ จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20% ทั้งนี้ในปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพัก รวมแตะระดับ All-time High ที่ 75% ขณะที่การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) รวมถึงการปรับปรุงและยกระดับโรงแรมในเครือ ช่วยเสริมแกร่งผลประกอบการ สนับสนุนให้ SHR สามารถครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม รายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี จะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ คาดผลประกอบการจะสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ในอีกทางหนึ่ง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แรงหนุนสำคัญจากทั้งปัจจัยมหภาค โดยบีโอไอคาดระดับการลงทุน จากต่างประเทศคงตัวได้ที่ราว 5-6 แสนล้านบาท ความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งตอบโจทย์ธุรกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานและน้ำจำนวนมาก และธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด ในการผลิตเป็นเงื่อนไขเพื่อขยายสู่ตลาดระดับสากล
เนื่องจากนิคมตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบ และเส้นทางการขนส่ง มีแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ แหล่งไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ และมีโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ภายใต้ความร่วมมือกับ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ซึ่งจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุดครบ 400 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ของโรงไฟฟ้าจะผลักดันส่วนแบ่งกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว ด้วยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ เพื่อสร้าง All-Time High ในทุกธุรกิจ บริษัทฯเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในปี 2566 รายได้รวมของ สิงห์ เอสเตท จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 34% หรือ มากกว่า 16,700 ล้านบาท ส่งผลต่ออัตรากำไร และผลตอบแทนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
บริษัทฯ มีแผนจับมือพันธมิตรทั้งภายใน และภายนอกเครือสิงห์ เอสเตท เพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง (Product differentiation) โดยธุรกิจที่พักอาศัย มุ่งก้าวเข้าสู่ตลาด Branded Residence ผ่านการร่วมมือกับ SHR ในอีกทางหนึ่ง การผนึกความร่วมมือ ยังช่วยให้รุกเร็วและปรับตัวไว (Speed to market) โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ บนหลังคาของโรงแรมในเครือ SHR ทั้งในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 3 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี โครงการดังกล่าวนอกจาก จะช่วยสร้างผลงานที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ธุรกิจโรงแรมก็สามารถบริหารต้นทุน ทางพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนขยาย การใช้พลังงานสะอาดไปยังโครงการที่มีศักยภาพอื่นๆ ของบริษัทฯ ในระยะข้างหน้าอีกด้วย