‘Yonas Kinde’ นักกีฬาผู้ลี้ภัย ร่วมวิ่งบางแสนฮาล์ฟมาราธอน
‘Yonas Kinde’ นักกีฬาผู้ลี้ภัย ร่วมวิ่งบางแสนฮาล์ฟมาราธอน เปิดใจถึงผู้ลี้ภัยทั่วโลกความฝันที่เป็นจริงมาจากการฝึกซ้อมที่ใครก็ทำสำเร็จได้ไม่ว่าจะสถานะใด
วันนี้ (15 ธ.ค. 66) นายโยนัส คินดิ Yonas Kinde นักวิ่งมาราธอนโอลิมปิก สัญชาติลักเซมเบิร์ก อดีตผู้ลี้ภัยชาวเอธิโอเปีย เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน บางแสน 21 Half Marathon 2023 ในวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ที่ถนนเลียบหาดบางแสน อ.เมือง จ.ชลบุรี
โยนัส คินดิ เปิดใจกับสื่อมวลชนไทย ถึงการเดินทางมายังประเทศไทยครั้งแรก ทั้งเข้าร่วมการแข่งขันฮาล์ฟมาราธอน โยนัส ในฐานะอดีตผู้ลี้ภัย ทำงานร่วมกับ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ หรือ UHHCR จึงได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ลี้ภัยที่ได้รับโอกาสในการเดินตามความฝัน ได้แข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2016 ในฐานะทีมผู้ลี้ภัย ที่เมือง รีโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล
โยนัส กล่าวถึงแรงบันดาลใจด้านการวิ่ง ว่ามีต้นแบบด้านการวิ่ง คือ ‘Abebe Vikela’ นักวิ่งชาวเอธิโอเปีย เป็นนักกีฬาวิ่งโอลิมปิกที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี 1962 เขาวิ่งโดยไม่สวมรองเท้า แต่สามารถชนะการแข่งขันครั้งนั้นได้ ตั้งแต่นั้นเขาจึงเริ่มเป็นนักกีฬาและนักวิ่ง โดยเริ่มสนใจด้านการวิ่งตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เพาะเชื่อว่าการวิ่งจะช่วยเขาได้ทั้งในเรื่องสุขภาพและการพบเจอสังคมใหม่ๆ และเชื่อว่ากีฬาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนในช่วงวัยรุ่นได้
โยนัส เริ่มต้นจากการวิ่งไปโรงเรียนแทนการนั่งรถ ตั้งแต่วัยเด็กที่เขายังอยู่เอธิโอเปีย แต่เขาเลือกที่จะวิ่ง เพื่อออมเงินค่ารถที่ได้จากแม่ ไว้ซื้อของหวานและขนมขบเคี้ยว
“ผมวิ่งไปโรงเรียน ระยะทางไป-กลับ 16 กิโลเมตร และผมไม่นึกมาก่อนเลยว่าการวิ่งจะมีส่วนช่วยในการแข่งขัน เพราะผมแค่วิ่งไป เพื่อให้ถึงโรงเรียนเท่านั้น”
โยนัส เล่าถึงการวิ่งไปโรงเรียน ทำให้คุณครูพละสังเกตเห็นเหงื่อที่เต็มเสื้อผ้าของโยนัสทุกวันเวลาวิ่งมาโรงเรียน และเห็นถึงความแข็งแรงของโยนัส จึงเริ่มให้คำแนะนำแก่โยนัสว่าควรไปแข่งวิ่งระดับโรงเรียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นด้านการวิ่งของโยนัสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และไม่นานหลังจากนั้น ก็เริ่มวิ่งทั่วประเทศ วิ่ง 10,000 เมตร ฮาล์ฟมาราธอน และเป็นนักวิ่งอนาคตไกล
หลังจากนั้น โยนัส ลี้ภัยไปยังประเทศลักเซมเบิร์กในปี 2012 และได้รับรองสถานะเป็นผู้ลี้ภัยที่นั้นใน ปี 2013 เขายังแบ่งเวลาจากการเรียนมาวิ่ง เขาก็เข้าร่วมรายการแข่งขันวิ่ง และชนะรายการวิ่งในประเทศลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และเยอรมัน เขากลายเป็นหนึ่งในนักวิ่งมาราธอนที่เก่งที่สุดของลักเซมเบิร์ก โดยคว้ารางวัลมาได้ทั้งจากในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี
“กีฬาให้ชีวิตใหม่กับผม แม้ในสถานที่ที่ผมไม่คุ้นเคย การวิ่งช่วยให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ช่วยให้รู้จักคนใหม่ๆ และสู้กับความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ เนื่องจากอาศัยอยู่ที่นั้นเพียงลำพัง และยังสามารถช่วยผมได้ทั้งในเรื่องร่างกายและจิตใจ” โยนัส กล่าว
ถัดมาในปี 2016 โยนัสได้รับคำเชิญชวนจากนักข่าวท่านหนึ่งที่โทรศัพท์มาบอกข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันวิ่งโอลิมปิกที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ทำให้โยนัสตอบรับคำเชิญ และตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งทันที โดยโยนัสได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากลให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้ลี้ภัยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันที่เมืองริโอ 2016 เขาบอกว่า “นับเป็นช่วงเวลาที่ยากจะลืมจริงๆ”
โยนัส เปิดเผยถึง ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้นว่า
“ผมได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากทีมงาน UNHCR และในนักกีฬาของผู้ลี้ภัยทั้ง 10 คน ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้วิ่งแข่งมาราธอน เขาจึงรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของของผม และอยากทำมันออกมาให้ได้ดี”
โยนัส อยากโชว์ให้ทั่วโลกได้รู้ว่าผู้ลี้ภัยมีความเข้มแข็งมากขนาดไหน ผู้ลี้ภัยก็เป็นมนุษย์คนนึงที่เหมือนกับทุกคน ขณะนี้มีผู้ที่พลัดถิ่นอยู่ 114 ล้านคนทั่วโลก โดยที่ 36 ล้านคนกำลังตกอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย เขาจึงอยากโชว์ให้ทุกคนเห็นถึงศักยภาพและมีความสามารถเหมือนคนทั่วไปเช่นเดียวกัน เพียงแค่ให้โอกาสแก่พวกเขา
เมื่อถามว่า การเป็นผู้ลี้ภัยทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังกับการที่จะเดินตามความฝันหรือไม่ โยนัส กล่าวว่า
ไม่เคยรู้สึกสิ้นหวัง และไม่มีความรู้สึกแตกต่างจากใคร เขามีโอกาสได้ร่วมฝึกซ้อมกับนักกีฬาท่านอื่นๆ ที่หมู่บ้านนักกีฬา พร้อมย้ำว่า
“การฝึกซ้อมจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับชัยชนะ ไม่ใช่สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมรอบข้างที่จะทำให้ได้รับชัยชนะ” พร้อมยังได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนสงเคราะห์โอลิมปิกระหว่างประเทศ หรือ โอลิมปิก โซลิดาริตี้ (International Olympic Solidarity) ช่วยเรื่องการเตรียมตัว และทำให้เขารู้สึกได้รับความเสมอภาคกับนักกีฬาประเทศอื่นๆ
สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึง โยนัส กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2020 ที่ได้เป็นประชาชนของประเทศลักเซมเบิร์ก เขาได้เข้าร่วมการวิ่งในนามของนักกีฬาประเทศลักเซมเบิร์ก เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาในการแข่งขันโตเกียวมาราธอน เขาก็ไม่ได้รับการคัดเลือกให้วิ่งในนามของผู้ลี้ภัย เนื่องจากได้รับสัญชาติเรียบร้อยแล้ว
“อยากให้กลุ่มผู้ลี้ภัยเข้มแข็ง และพยายามคิดว่าเดียวช่วงเวลาเหล่านี้จะผ่านไป ให้หากิจกรรม หาเพื่อน อยากจะส่งเสริมด้านกีฬา และให้มีกิจกรรมเหล่านี้ในค่ายผู้ลี้ภัย เพื่อจะช่วยส่งเสริมด้านสุขภาพและจิตใจ และอยากขอบคุณ UNHCR รวมทั้งฝากถึงคนไทยให้สนับสนุนและอยู่เคียงข้างผู้ลี้ภัย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก”
โยนัส กล่าวทิ้งท้ายถึงผู้ลี้ภัยทั่วโลก และยืนยันที่จะยืนหยัดเคียงข้างผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่อยู่ในประเทศไทย เขาทราบว่ามีจำนวนมาก และ UNHCR ได้ทำงานเพื่อดูแลผู้ลี้ภัยทั่วโลก และคนไทยมีน้ำใจในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยมาโดยตลอด จึงหวังว่าจะได้รับโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้เดินตามความฝันอย่างที่เขาได้รับมาแล้ว
