HEALTH

กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์ “โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก” อย่างใกล้ชิด ย้ำ ยังไม่พบผู้ป่วยในไทย

วันนี้ (27 ก.ค. 66) นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย ยังไม่มีรายงานพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโกในประเทศไทย ทั้งนี้จากการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโกอย่างใกล้ชิด ซึ่ง WHO กำหนดให้เป็นโรคติดต่ออันตราย ซึ่งเกิดจากเชื้อไนโรไวรัส (Nairovirus) โดยเชื้อดังกล่าวพบในตัวเห็บ ที่อาศัยอยู่บนตัวสัตว์เท้ากลีบ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ เป็นต้น พบระบาดในประเทศในแถบแอฟริกา อเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแถบแปซิฟิกตะวันตก พร้อมกันนี้ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างระหว่าง “โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก” และ “โรคไข้เลือดออก” แม้โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก

นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า “ได้รับรายงานพบผู้ติดเชื้อ โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก พื้นที่ระบาดอยู่ในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง และเอเชียใต้ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้เป็นโรคติดต่ออันตราย และขอย้ำว่าโรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก ยังไม่มีรายงานพบผู้ป่วยในประเทศไทย โรคดังกล่าวมีความแตกต่าง จากโรคไข้เลือดออกที่พบผู้ป่วยในประเทศไทย”

“ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกไครเมียนคองโก พบรายงานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2487 ที่บริเวณแหลมไครเมียน ต่อมาเกิดการระบาดในประเทศคองโก สาเหตุเกิดจากเชื้อไนโรไวรัส (Nairovirus) เชื้อดังกล่าวพบในตัวเห็บ ที่อาศัยอยู่บนตัวสัตว์เท้ากลีบ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ เป็นต้น พบระบาดในประเทศในแถบแอฟริกา อเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแถบแปซิฟิกตะวันตก ติดต่อโดย”

1.ถูกเห็บที่มีเชื้อไนโรไวรัสกัด
2.สัมผัสเลือดหรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่มีเชื้อ
3.สัมผัสเลือดหรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยไครเมียนคองโก

เมื่อป่วยจะเริ่มด้วยอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดกล้ามเนื้อ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง อุจจาระร่วง มีภาวะเลือดคั่ง ตาอักเสบบวมแดง อาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เกิดขึ้นบริเวณหน้าอกและท้องแล้วกระจายไปทั่วร่างกาย อาจมีเลือดออกที่บริเวณเหงือก จมูก ปอด มดลูก ทางเดินปัสสาวะ และทางเดินอาหาร อัตราการป่วยตายจะอยู่ที่ ร้อยละ 30-40 หากพบผู้ติดเชื้อให้แยกผู้ป่วยให้อยู่ในห้องเดี่ยว และควรเป็นห้องความดันลบ ทั้งนี้ปัจจุบันยังไม่พบรายงานผู้ป่วยในประเทศไทย หากกลับจากต่างประเทศและสงสัยโรคนี้ ให้พบแพทย์และให้ประวัติการเดินทาง และปัจจัยเสี่ยง

ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า “โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ติดต่อโดยมียุงลายเพศเมีย เป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร บางรายมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อก และเสียชีวิตได้”

“สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออก ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-19 ก.ค. 2566 พบรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกจำนวน 41,527 ราย สูงกว่าปีที่ผ่านมา ณ ช่วงเวลาเดียวกันถึง 2.8 เท่า และมีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวน 41 ราย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 5,057 ราย ทั้งนี้หากประชาชนสงสัยหรือมีอาการเข้าได้กับโรคไข้เลือดออก ห้ามกินยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก แอสไพริน และยาชุด ซึ่งมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหาร เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ และให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการ และการดูแลรักษาที่ถูกต้องรวดเร็ว”

“พร้อมทั้งป้องกันตนเอง และบุคคลในครอบครัวไม่ให้ถูกยุงกัด โดยยึดหลักมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ 1.เก็บบ้าน ให้สะอาดเป็นระเบียบ ปลอดโปร่ง ไม่ให้เป็นที่เกาะพักของยุง 2.เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้สนิท และหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ และ 3.เก็บขยะ หรือเศษวัสดุที่มีน้ำขังทั้งภายใน และบริเวณรอบบ้าน เพื่อเป็นการกำจัดแหล่งวางไข่ยุงลาย ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลายได้ 3 โรค ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422”

Related Posts

Send this to a friend