HEALTH

ทำความสะอาดเสื้อผ้าหลังสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ถูกวิธี ช่วยป้องกันโรคที่มากับมลพิษ

เพียงแค่ปรับความถี่ในการทำความสะอาดบ่อยขึ้น ก็ขยับห่างไกลอันตรายจากมลพิษได้ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่สัมผัสฝุ่น PM 2.5 หากไม่รีบซักล้างอย่างถูกวิธี อาจป็นสาเหตุหนึ่งของโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นกัน เพราะการหมักหมมเสื้อผ้า ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจิ๋วนั้น จะทำให้มลภาวะเหล่านี้สัมผัส เข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งทางปากจมูกคอและผิวหนัง

The Reporters ได้สอบถามไปยัง เสาวณี ไทยเจริญ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี ให้ข้อมูลว่า “สิ่งสำคัญที่สุดหลังจากการใส่เสื้อผ้า ไปสัมผัสฝุ่น PM 2.5 คือให้รีบซักความสะอาดทันที โดยไม่กองไว้หรือไม่สะสมเสื้อผ้าไว้ซักครั้งละมากๆ เพื่อลดการปนเปื้อนฝุ่นพิษที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าตัวหนึ่งไปยังเสื้อผ้าตัวอื่นๆ หรือป้องกันการหมักหมมฝุ่น เกาะติดอยู่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วเป็นจำนวนมากอีกด้วย ทั้งนี้การซักทำความสะอาดนั้น ก็แนะนำให้ซักด้วยผงซักฟองปกติ ส่วนน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้น ถ้าในช่วงที่มีมลพิษเยอะ ก็แนะนำให้เลี่ยงการใช้ออกไปก่อน เพราะอาจจะมีสารเคมีตกค้าง จากกลิ่นที่ทำให้เสื้อผ้าหอมได้ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วตากไม่แห้งสนิทในช่วงที่มีฝุ่นเยอะ เช่น ผู้ที่ตากผ้าในร่ม ทั้งนี้ความหนืดของน้ำยาปรับผ้านุ่ม จะยิ่งทำให้เสื้อผ้ามีความชื้น หรือหากเสื้อผ้านิ่มก็จะนิ่มเพราะความชื้น และจะยิ่งทำให้ดูดฝุ่นมากยิ่งขึ้น”

พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.บ้านตาขุน บอกอีกว่า ในรายที่ต้องการใช้ น้ำยาปรับผ้านุ่ม จริงๆ ก็ยังคงใช้ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่าการตากผ้านั้น มีแสงแดดเพียงพอ เพื่อที่จะทำให้ผ้าแห้งสนิท โดยที่น้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ส่งผลกระทบกับเสื้อผ้าและผู้สวมใส่ เพราะการตากเสื้อผ้าที่มีแสงแดดส่องผ่าน จะทำให้ความชื้นระเหยได้ดีกว่า และช่วยทำให้เชื้อโรคตายได้ดีเช่นกัน ที่สำคัญเมื่อเสื้อผ้าแห้งก็ควรเก็บจะดีที่สุด ส่วนในกรณีที่เราอบแห้งเสื้อผ้า ซึ่งเป็นการไล่ไอน้ำ ให้ระเหยออกจากเสื้อผ้าได้เช่นกัน แต่บางครั้งเชื้อโรคอาจจะยังปะปนอยู่กับเสื้อผ้า อีกทั้งเมื่อนำเสื้อผ้าตากในที่ไม่มีแสงแดดพอ เช่น ในบ้าน หรือ ตากในห้อง ที่มีความชื้นอยู่ก่อนแล้ว จะยิ่งทำให้เสื้อผ้าขึ้นราได้ง่าย รวมถึงอาจทำให้สารเคมี ในน้ำยาปรับผ้านุ่มตกค้างที่เสื้อผ้าได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม กรณีที่ตากเสื้อผ้าในร่ม จากการอบแห้งเสื้อผ้า ยกเว้นการตากนอกบ้าน ที่มีลมพัดผ่านตลอด หรือมีแสงแดดส่องถึง และเมื่อเสื้อผ้าแห้งก็ให้รีบเก็บ ก็สามารถใช้น้ำยาเอนกประสงค์ดังกล่าวได้

อันตรายจากเสื้อผ้าที่คลุกฝุ่น PM2.5 ?

เสาวณี กล่าวว่า “หากไม่รีบซักเสื้อผ้าที่สัมผัสฝุ่นพิษนั้น จะทำให้ฝุ่นร้ายปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายของเราได้ผ่านทางปาก จมูก หู และผิวหนังได้เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ ที่เริ่มจากการไอ จาม จากนั้นฝุ่นขนาดเล็กจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอด และทำให้ระบบหายใจล้มเหลว ที่สำคัญจะทำให้เนื้อเยื่อปอดเสียหาย และทำให้ป่วยเป็นโรคปอด อีกทั้งยังนำมาสู่มะเร็งปอด หรือ วัณโรค ได้ในที่สุดหากสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานๆ ส่วนผู้ที่ออกไปสัมผัสฝุ่นพิษจิ๋วโดยตรงนั้น จะส่งผลให้ขี้ตาของเรารับเชื้อโรคจากฝุ่นจิ๋ว ซึ่งจะทำให้ตาอักเสบ ในส่วนผิวหนังก็จะทำให้เกิดภูมิแพ้ที่ผิวหนังได้ เช่นกัน”

พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ บอกอีกว่า หลังจากที่ต้องออกไปเผชิญ กับฝุ่นพิษจิ๋วนั้น อันดับแรกแนะนำให้ซักทำความสะอาดเสื้อทันที โดยไม่ต้องรอซักผ้า ในปริมาณที่มากพร้อมกันทีเดียว และตากในที่มีแสงแดดเพียงพอ เมื่อเสื้อผ้าแห้งให้รีบเก็บทันที จากนั้นให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย และควรล้างจมูกและล้างหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันฝุ่นพิษสะสมอยู่ที่บริเวณดวงตา ซึ่งจะป้องกันตาอักเสบ และลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ จากการสูดดมฝุ่นผ่านทางจมูกได้เช่นกัน หลังล้างจมูก 

เครื่องอบผ้าจำเป็นแค่ไหน ในช่วงที่ฝุ่นพิษระบาด ?

อัญญรินทร์ แจ้งเขว้า พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ จาก ชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค กล่าวว่า “การใช้เครื่องสำหรับอบผ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ผ้าแห้งนั้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละครอบครัว เพราะบางครอบครัว อาจจะไม่มีงบประมาณเพียงพอ ในการซื้อเครื่องอบผ้าต่างหาก เพราะอันที่จริงแล้ว การตากผ้าที่มีแสงแดดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถือเป็นการฆ่าเชื้อโรคโดยธรรมชาติ แต่จำเป็นต้องเก็บผ้าเร็วขึ้นในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 เยอะ ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพรับจ้างซักเสื้อผ้า ก็อาจสามารถใช้เครื่องอบผ้าได้ เพราะต้องทำความสะอาดเสื้อผ้าในปริมาณมากๆ”

พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ จาก ชมรมผู้สูงอายุ บอกคล้ายกันว่า เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนฝุ่น PM2.5 ให้รีบทำความสะอาดทันที โดยการซักด้วยผงซักฟอกตามปกติ ส่วนการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนั้น แม้ว่าจะมีความหนืดในตัวเอง และอาจทำให้ฝุ่นพิษเกาะเสื้อผ้าได้บ้าง แต่ทั้งนี้คนทั่วไปก็ยังสามารถ ใช้น้ำยาเอนกประสงค์ดังกล่าวได้ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องตากเสื้อผ้า ในจุดที่มีแสงแดดส่องถึง จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุด และทำให้ผ้าแห้งสนิทไม่ก่อให้เชื้อรากับผิวหนัง และยังทำให้ผ้ามีกลิ่นหอม ที่สำคัญเมื่อเสื้อผ้าแห้ง แนะนำให้รีบเก็บพับให้เร็วที่สุดเช่นกัน เพื่อป้องกันฝุ่นพิษเกาะติดอยู่ที่เสื้อผ้า 

เลือกใช้เสื้อผ้าที่กันฝุ่น PM 2.5 ตัวช่วยหนึ่งในการลดอันตราย จากการปัญหามลพิษในอากาศ 

นอกจากการซักทำความสะอาดเสื้อผ้า โดยไม่หมักหมมทิ้งไว้แล้ว การพิจารณาใช้เสื้อผ้า ที่เนื้อผ้าลดการสะสมของฝุ่น PM2.5 ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่ง ในการลดฝุ่นพิษจิ๋วเกาะติดเสื้อผ้า และลดอันตรายจากสัมผัสฝุ่นขนาดเล็กลงได้ เช่น “ผ้าซาติน” ที่จะมีลักษณะเรียบเนียน เนื่องจากกรรมวิธีในการทอนั้น มีการกระโดดข้ามของเส้นด้ายที่สูง ซึ่งไม่ใช่การสลับขึ้นลงทุกๆ ช่วงด้าย เช่นการทอผ้าชนิดอื่นๆ จึงทำให้ผ้าซาตินมีความลื่นเรียบและมันเงา จึงช่วยลดโอกาสในการเกาะฝุ่น PM2.5 ได้ดีกว่าผ้าชนิดอื่น (ผ้าซาตินนิยมนำตัดเป็น เสื้อเชิ้ตใส่ทำงาน,ชุดเดรส,ชุดชั้นใน,ชุดนอน ปลอกหมอน และผ้าปูที่นอน)

นอกจากนี้ “ผ้าคอมทวิล” (combtwill Fabric) ที่มีความหนาขนาดกลาง และมีความมันเงาลื่น น้ำหนักเบา (ใช้ผลิตเสื้อชุดยูนิฟอร์มห้างร้านต่างๆ,ชุดช่างหมี,ผ้ากันเปื้อน,ผ้าม่าน) “ผ้าฝ้ายมัสลิน ที่นิยมนำมาทำหน้ากากอนามัยกันโควิด-19 ทั้งนี้ผ้ามัสลินทอจากใยฝ้าย 100 % โดยทั่วไปแล้วผ้าฝ้ายมัสลิน จะจำหน่ายในรูปแบบของผ้าสีขาว ผ้าที่ย้อมสีสัน และพิมพ์เป็นลายดอก เพื่อนำไปออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน (ผ้ามัสลินนิยมนำมาทำเป็นผ้าอ้อม,ชุดชั้นใน ผ้ากันเปื้อน,ผ้าเช็ดหน้า,ผ้าปูที่นอน) นอกจากแฟชั่นที่ทำจาก ผ้าฝ้าย หรือ ผ้าคอตตอนแท้ ที่มีให้เลือกหลายสไตล์ ก็เป็นหนึ่งกลุ่มผ้าที่มีความสามารถในการดูดซับฝุ่นได้น้อยเช่นกัน

การทำความสะอาดเสื้อผ้าอย่างถูกวิธี รวมถึงการเลือกแฟชั่นที่ช่วยลด การเกาะติดของฝุ่นพิษจิ๋ว หรือแม้แต่รีบอาบน้ำชำระร่างกาย หลังไปเผชิญมลภาวะนอกบ้าน และที่สำคัญไม่แพ้กันอย่างการใส่หน้ากาก N95 ออกจากบ้าน ก็ช่วยให้รับมือกับวันที่ค่าฝุ่น PM 2.5 ป็นสีแดงได้เช่นกัน 

Related Posts

Send this to a friend