HEALTH

เตือน อันตรายจาก โรคตาแห้ง หากละเลยเสี่ยงกระจกตาทะลุ รุนแรงถึงขึ้นตาบอด

วันนี้ (19 ธ.ค. 65) นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ร่วมกับ นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากโรคตาแห้ง จากการอยู่หน้าจอมือถือคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต และการใส่คอนแทคเลนส์ เมื่อเจอสภาพอากาศแห้งอยู่ในห้องแอร์ มีอุณหภูมิเย็นแห้ง การปะทะลมหรือแสงแดดเป็นประจำ และการป้องกันโรคตาแห้ง โดยเฉพาะในกลุ่มของคนไข้โรคข้อ โรคแพ้ภูมิตนเองชนิดรุนแรง หรือผู้ที่มีอาการแพ้ยา ถ้าปล่อยให้เกิดอาการตาแห้งบ่อยๆ และเป็นแผลเรื้อรัง อาจทำให้กระจกตาทะลุได้ ถ้ารุนแรงก็อาจถึงขั้นตาบอด จึงไม่ควรมองข้ามอาการตาแห้งโดยเด็ดขาด แนะนำให้ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และให้การรักษาโดยเร็ว เพราะโรคตาแห้งอาจเป็นภาวะ ที่เกิดร่วมกับโรคอื่นๆร่วมด้วยได้

นายแพทย์ไพโรจน์ เปิดเผยว่า “ โรคตาแห้ง (Dry eye) เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปแม้อาการตาแห้งไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่มักทำให้การใช้ชีวิตลำบากได้ไม่น้อย ซึ่งโรคตาแห้งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อย และมักจะเกิดกับกลุ่มคนในวัยทำงาน จากการใช้งานคอมพิวเตอร์และใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งเป็นตัวการดูดน้ำออกจากผิวตาทำให้ตาแห้ง เมื่อรวมกับพฤติกรรมการจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา ทำให้กระตุ้นน้ำตาออกมาน้อยและระเหยเร็ว ทำให้มีอาการระคายเคืองตา แสบตาได้สัญญาณเตือนโรคตาแห้งระคายเคืองตา แสบตา น้ำตาไหล ตาล้าง่าย ตาแดง มีขี้ตาเมือกๆ ได้ เพราะเคืองตา ตามัว มองไม่ชัด ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตาตาสู้แสงไม่ได้ ลืมตายาก รู้สึกฝืดๆในตา หรือใส่คอนแทคเลนส์แล้วไม่สบายตา หากมีอาการเหล่านี้ควรพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และให้การรักษาโดยเร็ว เพราะอาการเหล่านี้นอกจากบ่งบอกว่า เป็นโรคตาแห้งแล้ว หลายคนอาจไม่รู้ว่า โรคตาแห้งอาจเป็นภาวะที่เกิดร่วมกับโรคอื่นๆ”

ด้าน นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า “โรคตาแห้งเป็นโรคของผิวหน้าดวงตา เนื่องจากน้ำตาเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของผิวหน้าดวงตา โดยลักษณะสำคัญของโรคตาแห้งคือ การสูญเสียสภาวะสมดุลของน้ำตา ควบคู่กับการมีอาการทางตา ซึ่งอาการทางตาหมายถึง ระคายเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย ตามัว การมองเห็นที่ผิดปกติไป และความไม่เสถียรของน้ำตา สาเหตุหลักมาจากการที่ต่อมน้ำตา ไม่สามารถผลิตน้ำตาได้เพียงพอ ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นของดวงตาได้ นำมาสู่อาการอักเสบ ระคายเคืองและอาจเกิดการทำลายพื้นผิวดวงตาได้ โรคตาแห้งเกิดได้หลายสาเหตุ มีลักษณะของการสูญเสียสมดุลของน้ำตา โดยน้ำตา (Tear film) มีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น คือ ชั้นไขมัน (Lipid layer) ชั้นน้ำ (Aqueous layer) และชั้นเมือก (Mucous layer) หากเกิดปัญหาที่ชั้นใดชั้นหนึ่งของน้ำตา จะส่งผลให้เกิดภาวะตาแห้งได้”

ขณะที่ แพทย์หญิงนวลจิรา ประกายรุ้งทอง นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กล่าวเพิ่มว่า “โรคตาแห้งสามารถแบ่งสาเหตุ ที่ทำให้เกิดตาแห้งออกได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆคือ

1.การผลิตน้ำตาลดลง อันมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย หรือภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ที่ตา โรคโชเกร็น(Sjogren’s syndrome) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์(Rheumatoid arthritis) โรคลูปัส(Systemic Lupus Erythematosus: SLE) โรคของต่อมไทรอยด์ การขาดวิตามินการใช้ยาบางประเภท หรือหลังผ่าตัดดวงตาเช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคพาร์กินสันหรือการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือเคยทำเลสิก

2.น้ำตาเกิดการระเหยไวขึ้น อันมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันที่เปลือกตา ทำงานผิดปกติ(Meibomian gland dysfunction: MGD)โดยปกติต่อมไมโบเมียน จะทำหน้าที่สร้างน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้น้ำตาระเหยได้ช้า หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยไวขึ้น จนเกิดภาวะตาแห้งในที่สุดการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานเกินไป ปัจจัยทางพันธุกรรม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในบริเวณที่มีลมแรง มีฝุ่นควัน หรือความผิดปกติของเปลือกตา เช่น เปลือกตาม้วนออก (Ectropion)เปลือกตาม้วนเข้า (Entropion)เปลือกตาปิดไม่สนิทและสารกันเสียที่อยู่ในยาหยอดตา เป็นต้น

วิธีการรักษาโรคตาแห้งนั้น ต้องตรวจวิเคราะห์ในเวชปฎิบัติที่เหมาะสม และตรวจพิเศษเพิ่มเติมเช่นการซักประวัติโดยอาจใช้แบบสอบถาม ตรวจวัดปริมาณน้ำตาโดยการตรวจ tear meniscus ตรวจลักษณะขอบเปลือกตาและต่อมมัยโบเมียน การวัดความเข้มข้นของสารที่อยู่ในน้ำตา เป็นต้น โดยประเมินจากสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงตั้งต้นของโรค ร่วมกับอาศัยผลการตรวจหลายๆอย่างมาประกอบกัน ในการดูแลผู้ป่วยโรคตาแห้ง การค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรค เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากถ้าพบสาเหตุ และสามารถแก้ไขหรือขจัดสาเหตุนั้นได้ โรคตาแห้งอาจหายขาดได้ หรือหากเป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ การทราบสาเหตุยังคงมีประโยชน์ เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของโรคและรู้แนวทาง การควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น ทำให้การรักษาประสบความสำเร็จสูงขึ้นได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามอาจจะเจอปัญหานี้ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละคนสำหรับการดูแลดวงตาเพื่อลดอาการตาแห้ง ทำได้โดยการหยุดพักสายตาเป็นช่วงๆ

หากต้องใช้เวลาทำงานเป็นเวลานาน โดยหลับตา 1-2 นาที หรือกระพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยกระจายน้ำตาให้เคลือบทั่วดวงตา หรือหยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาหลีกเลี่ยงการโดนลมแรงๆ ปะทะดวงตาโดยตรง เช่น ลมจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ ที่เป่าผมควรสวมแว่นกันแดด หรือแว่นที่ครอบดวงตา เพื่อป้องกันแสงและลมหากจำเป็น ต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง ควรหลับตาเป็นพักๆ เพื่อลดการระเหยของน้ำตา ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ระดับต่ำกว่าสายตา เพื่อลดการระเหยของน้ำตา เนื่องจากหากตั้งอยู่สูงกว่าระดับสายตา ตาจะต้องเปิดกว้างขึ้น ทำให้ตาแห้งง่ายมากขึ้น ไม่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน ควรหยุดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก

หรือรับประทานอาหารที่มีปริมาณวิตามินเอสูง เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอทบร็อคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าวดังนั้น จึงควรที่จะรู้จักกับอาการตาแห้ง เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ รวมถึงจะได้สามารถตั้งรับ รู้วิธีการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถสังเกตอาการง่ายๆ คือ มีอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกไม่สบายตา น้ำตาไหล ระคายเคืองตา มีเมือกในตา หรือตาพร่ามัวให้สงสัยว่าอาจมีภาวะตาแห้ง แนะนำให้ปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมา หากมีอาการที่รุนแรง แนะนำให้พบจักษุแพทย์

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat