‘จุดดำลอย แสงวาบในตา’ สัญญาณเตือนภัยจาก ‘วุ้นตาเสื่อม’ ที่ไม่ควรมองข้าม

หลายคนเมื่ออายุย่างเข้าเลขห้า อาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในการมองเห็น เช่น มีจุดดำหรือเงาคล้ายหยากไย่ลอยไปมา หรือบางครั้งอาจเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมาในดวงตา อาการเหล่านี้แม้ดูเหมือนไม่รุนแรง แต่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ “โรควุ้นตาเสื่อม” ภาวะทางสายตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงวัย และเป็นภัยเงียบที่หากละเลย อาจนำไปสู่ปัญหาสายตาที่ซับซ้อนและรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้
วุ้นตา หรือ Vitreous Humor คือส่วนประกอบสำคัญของดวงตา มีลักษณะคล้ายเจลใสบรรจุอยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง ทำหน้าที่ช่วยคงรูปร่างของลูกตา เป็นตัวกลางให้แสงผ่านไปยังจอประสาทตา และเป็นแหล่งสารอาหารหล่อเลี้ยงดวงตา แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป คุณภาพของวุ้นตาก็ย่อมเสื่อมถอยตามธรรมชาติ
พญ.รุ่งรวี สัจจานุกูล จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ภาพความเข้าใจว่า เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะค่อยๆ เสื่อมสภาพบางส่วน อาจมีการละลายกลายเป็นของเหลวและเกิดการหดตัว ซึ่งกระบวนการนี้เองที่ทำให้วุ้นตาที่เคยแนบสนิทกับจอตาด้านหลังเกิดการแยกตัวและมีการดึงรั้งจอตา คล้ายกับการลอกสติกเกอร์ออกจากแผ่นกระดาษ ซึ่งบางครั้งอาจมีเศษกระดาษติดมาด้วย หากแรงดึงรั้งนั้นมากพอ ก็อาจทำให้จอประสาทตาเกิดรอยฉีกขาดได้ ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องได้รับการรักษา
ข้อมูลระบุว่า ภาวะวุ้นตาเสื่อมพบได้มากถึง 2 ใน 3 ของผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีวุ้นตาเสื่อมแล้วจะต้องเกิดจอตาฉีกขาดเสมอไป จากงานวิจัยพบว่ามีเพียงประมาณร้อยละ 6 ถึง 14.5 เท่านั้นที่ภาวะวุ้นตาเสื่อมจะรุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ ตั้งแต่ -6 ไดออปเตอร์ขึ้นไป ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดดวงตาเช่น จอตาหรือต้อกระจก ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณดวงตา หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
อาการที่ผู้มีภาวะวุ้นตาเสื่อมมักประสบด้วยตนเอง คือ การมองเห็นจุดดำ เส้น หรือเงาคล้ายหยากไย่ลอยไปมา หรืออาจเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช ซึ่งมักเห็นชัดขึ้นเมื่อมองไปยังพื้นผิวเรียบสว่าง เช่น ผนังห้องสีขาว หรือท้องฟ้า อาการเหล่านี้อาจปรากฏอยู่ระยะหนึ่ง โดยเฉลี่ยราว 3 เดือน และบางรายอาจค่อยๆ ปรับตัวคุ้นชินไปได้เอง แต่ พญ.รุ่งรวี เน้นย้ำว่า หากอาการเห็นจุดดำหรือแสงวาบมีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น เห็นเงาดำคล้ายม่านมาบดบังการมองเห็นเฉพาะส่วน หรือตามัวลงฉับพลัน เหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดจอตาฉีกขาดหรือหลุดลอกแล้ว ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดทันที เพราะหากตรวจพบรอยฉีกขาดได้เร็ว การรักษาด้วยเลเซอร์ก็อาจเพียงพอและได้ผลดีโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
ในด้านการรักษา พญ.รุ่งรวี อธิบายว่ามีตั้งแต่การใช้เลเซอร์เพื่อสลายหรือลดขนาดตะกอนในวุ้นตาที่บดบังการมองเห็น ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อนำวุ้นตาออก ซึ่งเป็นการรักษาที่ซับซ้อนและมีทั้งข้อดีข้อเสีย แพทย์จึงมักพิจารณาทางเลือกนี้อย่างถี่ถ้วน โดยทั่วไปหากอาการไม่รุนแรงและผู้ป่วยยังใช้ชีวิตประจำวันได้ การปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับอาการอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
นอกเหนือจากวุ้นตาเสื่อม อีกหนึ่งปัญหาทางสายตาที่คนยุคดิจิทัลเผชิญกันมากคือ “โรคตาแห้ง” จากการใช้สายตาจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน การอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือการใส่คอนแทคเลนส์ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจรุนแรงถึงขั้นต่อมไขมันที่เปลือกตาฝ่อถาวร ทำให้ตาแห้งเรื้อรัง ระคายเคือง และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้
การดูแลถนอมดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ พญ.รุ่งรวี แนะนำหลักการง่ายๆ คือ กฎ 20-20-20 พักสายตาทุก 20 นาที ด้วยการมองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที การประคบอุ่นดวงตา การสวมแว่นกันแดด และหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ส่วนการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำตามช่วงวัย ตั้งแต่อายุยังน้อยไปจนถึงวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ก็เป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเพิ่มโอกาสในการรักษาที่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันยังมีแคมเปญรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะนี้ เช่น การใช้บิลบอร์ดกลางเมืองจำลองอาการวุ้นตาเสื่อมเพื่อให้ประชาชนได้สำรวจตนเอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจสุขภาพดวงตามากขึ้น