BUSINESS

‘ไทยยูเนี่ยน’ เผยยอดขายไตรมาส 1 ปี 68 แตะ 2.98 หมื่นล้าน กำไรสุทธิปรับปรุงโต 9%

วันนี้ (9 พ.ค. 68) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป มหาชน หรือ TU รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยยอดขายรวม 29,789 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 18.8 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการเติบโตในไตรมาสแรก ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่ง

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป มหาชน กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกปี 2568 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนองค์กรตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 หรือ Strategy 2030 อยู่ที่ 1,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,019 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับ 1.0 เท่า ทำให้ไทยยูเนี่ยนมีความคล่องตัวและสามารถสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตได้ โดยกลยุทธ์ Strategy 2030 เป็นแผนงานใหม่เพื่อสร้างการเติบโตของไทยยูเนี่ยน สู่การเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล

นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะมีความท้าทาย แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลักผ่านการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จนสามารถสร้างผลกำไรได้ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้คล่องตัว มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งการวางรากฐานการทำงานที่แข็งแกร่งกำลังเริ่มแสดงผล และจะสร้างประโยชน์ให้องค์กรมากขึ้นในอนาคต

สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจในไตรมาสแรก กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมียอดขายรวม 4,174 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 24.5 ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายรวม 14,762 ล้านบาท ลดลงประมาณร้อยละ 14.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากปริมาณความต้องการสินค้าในตะวันออกกลางในปีก่อนที่สูงกว่าปกติ และการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิตในยุโรป จากการที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชะลอการสั่งซื้อสินค้าเนื่องจากราคาปลาที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มนี้อยู่ที่ร้อยละ 19.4

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งมียอดขายรวม 8,441 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลของราคากุ้งในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ยอดขายกุ้งชะลอตัว แต่บริษัทสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นจากร้อยละ 11.8 ในปีก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 12.4 ในไตรมาสแรกปีนี้ สุดท้ายคือกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ ทำยอดขายได้ 2,412 ล้านบาท ลดลงประมาณร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน

จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ไทยยูเนี่ยนยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาดำเนินการตามอัตราภาษีที่ประกาศ บริษัทได้คาดการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภาษีและเตรียมพร้อมโดยสำรองสินค้าทุกประเภทในสหรัฐอเมริกาไว้แล้ว เพื่อให้มีสินค้าในตลาดเพียงพอสำหรับการขายราว 4-6 เดือน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น ขณะเดียวกัน บริษัทยังใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตและแหล่งวัตถุดิบทั่วโลก เช่น กานา เซเชลส์ โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีให้น้อยที่สุด

นอกจากนี้ ในไตรมาสแรก ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Japan Credit Rating หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตและมีธุรกิจหลากหลายทั่วโลก โดยอันดับความน่าเชื่อถือนี้อยู่ในอันดับเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับจาก JCR พร้อมกันนี้ JCR ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินในประเทศของบริษัทไว้ที่ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ไทยยูเนี่ยนยังคงขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้ด้านความยั่งยืนทางทะเล หรือ Blue Loan วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ซึ่งเป็นการปล่อยวงเงินกู้ Blue Loan จากธนาคารพาณิชย์ที่เป็นพันธมิตรทางการเงินให้บริษัทอาหารทะเลในไทยเป็นครั้งแรก โดยวงเงินกู้ดังกล่าวจะนำไปใช้ยกระดับการจัดซื้อวัตถุดิบกุ้งที่เพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืนในประเทศไทย สอดคล้องกับเป้าหมายกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ของบริษัท

Related Posts

Send this to a friend