ฟิลิปส์ เผยผลสำรวจ Philips Future Health Index 2023

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยี เพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เผยถึงผลการสำรวจ จากรายงาน Future Health Index (FHI) 2023 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ในหัวข้อ “Taking Healthcare Everywhere” พบว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยการนำเทคโนโลยีและข้อมูล มาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้การดูแลรักษามีความใกล้ชิด กับตัวผู้ป่วยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นไปอย่างยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในระหว่างที่ต้องเผชิญ กับภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
ซึ่งผลสำรวจดังกล่าว จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเกือบ 3,000 คน ครอบคลุมผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ และบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่จาก 14 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
แครอไลน์ คลาร์ก ประธานและรองประธานบริหาร ฟิลิปส์ เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า “เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ระบบสาธารณสุข ให้บริการจากส่วนกลาง หรือโรงพยาบาลเท่านั้น แต่จากผลสำรวจล่าสุด พบว่าผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชีย-แปซิฟิกส่วนมาก กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับปัญหาด้านบุคลากร และต้นทุนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ป่วย เพราะเราเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่จะมีการกระจายบริการด้านสาธารณสุขออกไป ด้วยการนำสมาร์ทและดิจิทัลเฮลท์เทคโนโลยี (Smart and Digital Health Technology) และข้อมูลมาใช้เพื่อเชื่อมต่อบริการสาธารณสุข ให้เข้าใกล้ผู้ป่วยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือในชุมชนที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ทุกที่ทุกเวลา”
นอกจากขยายการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และปรับปรุงผลลัพธ์ของการดูแลผู้ป่วยแล้ว รายงาน FHI ยังเผยให้เห็นว่าการนำโมเดล การดูแลผู้ป่วยแบบใหม่มาใช้ จะช่วยให้ผู้บริหารแถวหน้าของวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคนี้ สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากขึ้น โดยสองในสาม (66%) ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ และบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่บอกว่า พวกเขามีความพร้อมในการทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพด้วยโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ ในขณะที่ 63% เชื่อว่าการดูแลรักษาผู้ป่วย สามารถดำเนินการไปได้พร้อมๆ กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ผลสำรวจยังเผยให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกต่อกำลังใจ และการรักษาบุคลากรไว้ในองค์กร โดยบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ หวังว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ จะช่วยให้พวกเขามีสมดุลในการทำงาน (work-life balance) ที่ดีขึ้น (58%) และสร้างความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น (56%) มากกว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบเดิมๆ
นอกจากนี้ 44% ของกลุ่มตัวอย่างในภูมิภาคนี้ ยังเห็นว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่มีประโยชน์ในด้านการยอมรับ และปฏิบัติตามของผู้ป่วยในการรักษา ในขณะที่ 36% เห็นว่าช่วยให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่วยได้ดีขึ้น และ 35% เห็นว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (เช่น ระยะเวลารอคอยในการรักษาที่สั้นลง, แพทย์ได้ตรวจและพบปะผู้ป่วยมากขึ้น) ความร่วมมือกับชุมชนเพื่อพัฒนาด้านสุขภาวะของประชากร และยกระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเฮลท์แคร์มากขึ้น
“สำหรับการประยุกต์ใช้โมเดลใหม่ ด้วยการลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยี AI ข้อมูลสารสนเทศ การดูแลรักษาผู้ป่วย และการฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ นับเป็นการนำโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ มาใช้ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนเพิ่ม ในเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์ และการขยายของระบบออนไลน์ (virtual care) ไปยังส่วนต่างๆ ในระบบนิเวศด้านเฮลท์แคร์”
และ 48% ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ลงทุนในบันทึกดิจิทัลด้านสุขภาพมากที่สุด และเกือบสามในสี่ (74%) ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ ในภูมิภาคมีแผนที่จะลงทุน ในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอีก 3 ปีข้างหน้า นำโดยสิงคโปร์ (84%) ตามด้วยอินโดนีเซีย (76%) และออสเตรเลีย (63%) เพื่อนำไปใช้ในการคาดการณ์ผลลัพธ์ (39%) เช่น วิเคราะห์แนวโน้มผู้ป่วย ต่อการตอบสนองต่อแผนการดูแลรักษา เพื่อความแม่นยำในการดูแลรักษาที่มากขึ้น เพื่อนำไปใช้สนับสนุน ในการตัดสินใจทางคลินิก (35%) เช่น ให้คำแนะนำในการตรวจวินิจฉัยหรือการรักษา การแจ้งเตือนล่วงหน้า การตรวจหาโรคแบบอัตโนมัติ ตัวชี้แนะการตัดสินใจทางคลินิก เป็นต้น และเพื่อนำไปใช้ในการบูรณาการ ด้านวินิจฉัย (33%) เช่น ช่วยประมวลผลการตรวจวินิจฉัยจทางคลินิก จากเครื่องมือที่แตกต่าง อาทิ การตรวจด้วยภาพ และพยาธิวิทยา ประวัติทางคลินิก เป็นต้น
ผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ของภูมิภาคนี้ ผลักดันการกระจายบริการ ด้านสาธารณสุขที่นอกเหนือจากในโรงพยาบาล ด้วยการขยายการดูแลรักษาผู้ป่วย ผ่านระบบออนไลน์ (virtual care) ไปยังส่วนต่างๆ ของระบบนิเวศด้านเฮลท์แคร์ ซึ่งไม่เฉพาะสำหรับการตรวจวินิจฉัยเท่านั้น โดยครึ่งหนึ่ง (51%) ของผู้บริหารแถวหน้า ในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บอกว่า สถานบริการด้านสาธารณสุขของพวกเขา ให้บริการดูแลผู้ป่วยหนัก หรือผู้ป่วยวิกฤตผ่านระบบออนไลน์แล้ว และ 42% บอกว่าพวกเขาจะให้บริการเช่นนั้นในอนาคต ในขณะที่ 62% ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ของภูมิภาคนี้ บอกว่าพวกเขาให้บริการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินที่บ้านแล้ว ผ่านทั้งระบบออนไลน์ และการพบปะตัวบุคคล และ 31% บอกว่าพวกเขาวางแผน ที่จะทำเช่นนั้นในอีก 3 ปีข้างหน้า
สำหรับประเทศไทย มากกว่าร้อยละ 45 ของหน่วยบริการด้านเฮลท์แคร์ ได้ถูกพัฒนาไปสู่การเป็น Smart Hospitals โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการกำหนดกลยุทธ์ เพื่อนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในโรงพยาบาล และมีการตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาโรงพยาบาล และบริการด้านเฮลท์แคร์สู่การเป็น Smart Hospital
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร กำลังเป็นปัญหาสำคัญของวงการสาธารณสุขทั่วโลก จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข เผยอัตราแพทย์ในประเทศไทย คือแพทย์ 0.5 คน ต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่ WHO ระบุไว้ว่าอัตราที่เหมาะสมคือแพทย์ 2.8 คนต่อประชากร 1,000 คน นอกจากนี้ แผนกำลังคนตามการจัดระบบบริการ โดยเขตสุขภาพ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังขาดแคลน บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 38,174 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นแพทย์ 6,115 ตำแหน่งและเป็นพยาบาล 28,174 ตำแหน่ง
จากรายงานพบว่าผู้บริหารแถวหน้า ในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สองในสาม (67%) ของพวกเขา (เทียบกับ 56% ทั่วโลก) มีการใช้หรือมีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์ เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลน บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้บริหารในอินโดนีเซีย (77%) และสิงคโปร์ (75%) ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ 3 อันดับแรกของเทคโนโลยี ที่มีผลต่อการลดผลกระทบจากการขาดแคลนบุคลากร จากความเห็นของผู้บริหารแถวหน้า ในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ เทคโนโลยีที่สามารถใช้งานบนคลาวด์ได้ เพื่อรองรับการเข้าถึงข้อมูลจากที่ไหนก็ได้ (44%) เทคโนโลยีโซลูชันส์ที่เชื่อมต่อ ภายนอกโรงพยาบาลได้ (37%) และเทคโนโลยีด้านการจัดการข้อมูล อาทิ PACS,บันทึกดิจิทัลด้านสุขภาพ,และกระบวนการจัดการผู้ป่วยอัตโนมัติ (35%)
“การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ สามารถช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรได้ บุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ระบุว่า การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ (39%) และโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ ที่เชื่อมต่อการดูแลที่แตกต่างกัน (33%) เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกสถานที่ทำงานของพวกเขา โดย 33% เห็นว่าแชทบอท (Chat bots) สามารถช่วยตอบคำถามพื้นฐานทางการแพทย์ ให้กับผู้ป่วยได้ 28% เห็นว่าการถ่ายโอนข้อมูลด้านเฮลท์แคร์ระหว่างโรงพยาบาล เป็นเรื่องสำคัญ และ 26% เห็นถึงความสามารถในการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยได้จากทุกที่ ทั้งหมดนี้บุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ เห็นเหมือนกันว่า เป็นเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มความพึงพอใจ ในการทำงานของพวกเขาได้”