’พ.ต.อ.ทวี‘ แถลงจับกุม ‘ชวนหลิง จาง‘ คดีนอมินี พร้อมขยายผลฟันผิดฮั้วประมูล
’พ.ต.อ.ทวี‘ แถลงจับกุม ‘ชวนหลิง จาง‘ กรรมการ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ในคดีนอมินี หลังพบหลักฐานทางการเงินกู้ยืมกับกรรมการบริษัทกว่า 2 พันล้าน พิสูจน์ได้ว่าเป็นการอำพรางให้บุคคลต่างด้าว พร้อมขยายผลฟันผิดฮั้วประมูล อยู่ระหว่างการสืบสวนเข้าข่ายใช้อุบาย ให้ได้มาซึ่งงานของรัฐหรือไม่
วันนี้ (19 เม.ย. 68) เวลา 19:20 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวจับกุม นายชวนหลิง จาง กรรมการผู้ถือหุ้น 49% ของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่พังถล่มลงมา ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี) ภายหลังศาลอาญา อนุมัติหมายจับนายชวนหลิง จาง พร้อมผู้ถือหุ้นคนไทยในบริษัทรวม 4 คน
พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่พิสูจน์ได้แล้ว จำนวน 74 ราย บาดเจ็บ 9 ราย ในส่วนของการดำเนินคดี มีการดำเนินคดีอยู่สองหน่วยงานคือดีเอสไอ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานได้บูรณาการร่วมกัน โดยในวันนี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้รองอธิบดี ไปขอศาลออกหมายจับ จำนวน 4 ราย ซึ่งผู้ต้องหาเป็นคนไทย 3 ราย ส่วนอีก 1 ราย เป็นชาวต่างชาติ และนิติบุคคลอีกหนึ่งราย คือบริษัทไชน่าฯ ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี) ซึ่งหากจะเป็นการประกอบธุรกิจของต่างด้าวจะต้องมีคนไทยถือหุ้น 51% และต่างด้าวถือหุ้น 49% ซึ่งเรามีการสอบสวน และหลักฐานเชื่อได้ว่า บริษัทได้นำคนไทยจำนวน 3 คน ที่เราอยู่ระหว่างการติดตามไปถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เนื่องจากเรามีหลักฐานทางการเงินกว่า 2,000 ล้านบาท ที่กู้ยืมกับกรรมการบริษัทที่เป็นคนจีน
พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า เรื่องนี้คือปฐมบทที่เป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวเข้าทำสัญญากับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ในรูปแบบกิจการร่วมค้า ส่วนอีก 2 เรื่องที่ดีเอสไอรับทำอยู่ คือ การประมูลงาน ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฮั้วประมูล) นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการว่าเข้าข่ายการฮั้วประมูลหรือไม่ ซึ่งจะต้องทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากหากเป็นต่างด้าว อำพรางโดยนอมินี มาร่วมกันทำสัญญากับ สตง. ก็จะเข้าความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 7 คือ เป็นการใช้กลอุบาย หรือกระทำโดยวิธีอื่นใดเพื่อให้ได้มา ซึ่งเป็นนอมินีนั้น เราก็จะต้องตรวจสอบว่าเข้าข่ายการใช้อุบายหรือไม่ เพราะหากไม่มีบริษัทไชน่าฯ นั้น บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จะสามารถทำได้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่เราอยู่ระหว่างการสืบสวน
อีกทั้ง ในกระบวนการเราก็จะต้องสอบลึกลงไป เช่น เราพบว่ามีสัญญาออกแบบ ที่เป็นเรื่องของ สตง. และผู้ทำสัญญาโดยตรง เราจึงจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะ ทั้งวิศวะ และสถาปนิก รวมถึงยังมีอีก 1 สัญญา คือสัญญาการควบคุมงาน ซึ่งเราได้สอบปากคำไปเยอะแล้ว และวิศวกรที่ควบคุมงานส่วนใหญ่ก็จะปฏิเสธว่ามีการปลอมลายเซ็น
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาการแก้ไขแบบที่มีถึง 9 ครั้ง ซึ่งหลักฐานต่าง ๆ เราอยู่ระหว่างการขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังมีอีก 1 สัญญาคือ เรื่องการก่อสร้างที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง แต่ก็เป็นเหตุหนึ่งของการเข้าไปทำสัญญา
พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นเรื่องที่เราจะยืนยันกับประชาชนว่า เราทำอย่างตรงไปตรงมา และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ซึ่งมีหนึ่งเรื่องที่ท้าทาย เป็นคดีที่ตำรวจไปทำคือคดีคนบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหาย ซึ่งตำรวจตั้งเรื่องไว้ว่าเป็นความประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือถ้าสอบสวนต่อไปจะต้องอาศัยข้อมูลเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนอาจใช้พยานหลักฐานในชุดเดียวกัน เช่นเรื่องการคุมงาน และการออกแบบ หรืออาจสืบสวนลึกลงไปว่ามีความเจตนาหรือไม่ ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า นายชวนหลิง จาง เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เราต้องเปิดโอกาสให้เขาชี้แจง และบริษัทไชน่าฯ ก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง เราจึงต้องเปิดโอกาสให้เขานำหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่ เพื่อที่เราจะพิสูจน์ว่าทำไมตึก สตง. ถล่มลงมา และทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราพร้อมจะรับฟัง และดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวนหลิง จาง ได้ให้การเบื้องต้นว่าอย่างไรบ้าง พ.ต.ต.ยุทธนา ระบุว่า ตอนนี้ตัวนายชวนหลิง จาง เพิ่งมาถึง และเข้าสอบปากคำกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งต้องรอล่ามแปลภาษา และทนายความ เพื่อดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการตามสิทธิของเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการอยู่ใน 3 เรื่อง คือ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี) , พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฮั้วประมูล) และ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งมี 2 เรื่องที่อาจจะไม่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้ตึกถล่ม แต่อาจจะเป็นผลโดยอ้อมหรือการกระทำความผิดที่นำไปสู่เหตุที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งเหตุผลโดยตรงที่เราอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน คือความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คือ วัสดุ เช่น เหล็กและปูนว่าได้มาตรฐานหรือไม่ซึ่งเรากำลังรวบรวมพยานหลักฐาน
ส่วนเรื่องนอมินี อาจจะไม่ใช่เรื่องโดยตรง แต่ก็สามารถทำให้พวกเขาเข้ามาประมูลงานในครั้งนี้ได้ จึงถือเป็นสาเหตุโดยอ้อม และความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ ก็ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวน
ขณะที่นอมินี 3 คนไทย นั้น พ.ต.อ.ยุทธนา ระบุว่า อยู่ระหว่างการติดตาม โดยยืนยันว่ายังอยู่ในประเทศไทยทั้ง 3 คน โดยทั้ง 3 คน ถือหุ้นร่วมกันที่ 51% ในบริษัท แต่เราพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ถือด้วยตัวเอง แต่เป็นการอำพรางของบุคคลต่างด้าว
ส่วนจะมีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องเพิ่มอีกหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี เผยว่า เราดำเนินการตามรายข้อหา ก็เชื่อว่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินคดีเพิ่ม ซึ่งยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการกดดันพนักงานสอบสวน เพราะรัฐบาลขอให้พนักงานสอบสวนทำอย่างตรงไปตรงมา และคำนึงถึงความไม่ชอบมาพากลให้ได้รับการแก้ไขด้วย เพราะเกิดการตั้งคำถามของสังคมในขั้นตอน ซึ่งท้ายที่สุดหากเรื่องไปถึงคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เราก็จะทำให้ดีที่สุด รายการที่เราตั้งข้อหาเรื่องการฮั้วก็ไม่ได้ไปถึงข้าราชการ แต่เป็นการสร้างกลอุบายของบริษัทเอกชน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัญญาอีก 11 สัญญา ซึ่งมีชื่อของคนไทยที่ไปร่วมมีมากกว่านั้น เราจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดูแล แต่ขณะนี้ดีเอสไอก็จะขอทำเรื่องตึกอาคาร สตง. ที่เป็นเหตุให้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ส่วนกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ มีการตรวจสอบอย่างไรบ้าง พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. กล่าวว่า ในเรื่องของวีซ่า ยังไม่หมดอายุ จะหมดอายุในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งก็มีมีประวัติการเข้าออกประเทศอยู่เรื่อย ๆ