ผบ.ตร.แถลงจับกุมขบวนการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ พบ 2 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคการเมืองเอี่ยว

ผบ.ตร. นำทีม แถลงจับกุมขบวนการทุจริตสอบเข้านายสิบตำรวจ พบ 2 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคการเมืองเอี่ยว ยืนยัน ทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้กลั่นแกล้งทางการเมืองในช่วงใกล้เลือกตั้ง
วันนี้ (29 มี.ค. 66) 15:10 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลการตรวจค้นจับกุม “ขบวนการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ” และพวก ซึ่งพบว่ามีว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากพรรคการเมืองร่วมในขบวนการนี้อีกด้วย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 ที่มีข่าวในโซเชียลว่า มีการเผยแพร่เฉลยข้อสอบหลุดออกมา จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบว่าขบวนการดังกล่าวมีอยู่จริง จึงได้ประสานกองบังคับการปราบปราม ให้ช่วยสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับเครือข่ายนี้ ซึ่งยอมรับว่าเครือข่ายนี้มีประสบการณ์ในการทำทุจริต และมีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตข้อสอบนายตำรวจของตำรวจภูธรภาค 9 รวมทั้งเครือข่ายนี้ยังมีข้อมูลหลักฐานการทุจริตสอบที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ และข้าราชการในหน่วยงานระดับท้องถิ่นอีกด้วย จึงได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามสืบสวนสอบสวนร่วมกับกองบัญชาการศึกษา จนนำไปสู่การขออนุมัติออกหมายจับทั้งหมด 18 หมาย โดยขณะนี้สามารถจับกุมได้แล้ว 17 ราย
ขณะที่ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า หลังจากที่กองบัญชาการศึกษา ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ที่ทุจริตการสอบ ทางกองบังคับการปราบปราม จึงได้ตั้งพนักงานสืบสวนเรื่องดังกล่าว พบข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่ระดับนายหน้าที่ไปหาผู้เข้าสอบตามหมู่บ้านต่างๆ ไปจนถึงผู้ที่นำโพยข้อสอบมาให้กับผู้เข้าสอบ โดยค่าในการทุจริตการสอบมีตั้งแต่ 200,000 – 600,000 บาท ตามแต่ละพื้นที่
ส่วนรูปแบบในการส่งโพยข้อสอบมีตั้งแต่โพยตัวเลข ซึ่งมีการเฉลยจำนวน 150 ข้อ ในข้อสอบ 4 ชุด ที่ส่งต่อกัน หรือรูปแบบการจดจำคำถามคีย์เวิร์ดสั้นๆ เพื่อจำนำไปใช้ในการทุจริตการสอบ โดยกองบังคับการปราบปรามได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับในส่วนแรกไปแล้ว 18 ราย และจะมีการสืบสวนขยายผลหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า การสมัครสอบตำรวจฝ่ายอำนวยการครั้งนี้มีผู้สมัครสอบจำนวน 1,160 คน ทั้งหมดถูกตรวจสอบ และพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบ และต้องสงสัยจำนวน 193 คน จึงเหลือผู้สมัครที่ผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ในวันที่ 8-12 พฤษภาคม 2566 จำนวน 967 คน
ในส่วนของการออกข้อสอบข้าราชการตำรวจมีการดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการมีข้าราชการตำรวจร่วมกับคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งการตรวจสอบหา กลุ่มผู้ต้องสงสัยที่นำข้อสอบออกนอกระบบ ขณะนี้พบแค่กลุ่มตำรวจ ซึ่งขณะนี้ตัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยออกจากคณะกรรมการออกข้อสอบแล้ว แต่ที่ยังไม่สามารถออกหมายจับได้เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมมากที่สุด
ส่วนกลุ่มที่ถูกตัดสิทธิรอบนี้รวมทั้งกลุ่มที่ถูกตัดสิทธิในรอบ 5 ปีย้อนหลัง พล.ต.ต.ญานพงศ์ โลมา รอง ผบช.ศ. เปิดเผยว่า มีมากกว่า 500 คน โดยทั้งหมดจะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามสมัครสอบรับราชการตำรวจตลอดชีพ และจะส่งข้อมูลชุดเดียวกันนี้ไปให้ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อพิจารณาขึ้นบัญชีดำในการสมัครสอบข้าราชการทุกประเภทด้วย
สำหรับมาตรการป้องกันการทุจริตในอนาคต ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามส่งกำลังพลสนับสนุนเข้าร่วมเป็นกรรมการออกข้อสอบอีก 1 หน่วยจากเดิมที่มีจเรตำรวจแห่งชาติร่วมเป็นกรรมการอยู่แล้ว รวมทั้งจะมีการลดจำนวนสนามสอบข้อเขียน เพื่อให้ง่ายต่อการกำกับดูแล สุดท้ายคือเพิ่มความเข้มงวดการดูแลข้อสอบในทุกขั้นตอนตั้งแต่ออกข้อสอบ ส่งตีพิมพ์ข้อสอบ และกระจายข้อสอบสู่สนามสอบ
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้ง 18 ราย ปรากฏชื่อ นายอดิศักดิ์ ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล จังหวัดมหาสารคาม และ นายดาชัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดลำปาง ซึ่งถูกออกหมายจับของศาลอาญารัชดาฯ เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 66) ในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร และ ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
สำหรับพฤติการณ์ของนายดาชัย ถือว่าเป็น ผู้ต้องหาคนสำคัญเพราะพฤติการณ์คือ สามารถเข้าถึงข้อสอบ และนำออกมาเผยแพร่ ซึ่งมีนายอดิศักดิ์ ร่วมขบวนการจัดหาผู้สมัครสอบตำรวจ โดยการกล่าวอ้างขายข้อสอบจากนายดาชัย จากการตรวจสอบเบื้องต้น นายอดิศักดิ์สามารถหาผู้สมัครสอบตำรวจได้ถึง 12 คน ขายข้อสอบให้รายละ 2-6 แสนบาท โดยมีรายงานว่าทั้งคู่ได้รับการประกันตัวหลังถูกสอบปากคำ
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับองค์กรตำรวจ รวมไปถึงองค์กรต่างๆ ของภาครัฐ พร้อมยืนยันว่าจะทำอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงได้มอบหมายให้ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแล เร่งดำเนินการตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม และตั้งใจสืบสวนสอบสวนนำความจริงมาปรากฎให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจว่าจะไม่ละเลยในเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งในทางการเมือง