‘ศิริกัญญา’ อภิปราย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ บอกเปลี่ยนไปมา ไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่ต้น

‘ศิริกัญญา’ อภิปรายซักฟอก ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ บอกเปลี่ยนไปมา ไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่ต้น ชี้ หลายโครงการบรรจุเป็นผลงานทั้งที่ไม่เห็นเป็นรูปธรรม มอง ผลงานมีแต่ผลิตซ้ำ ไม่มีอะไรใหม่ ฝากรัฐบาลคิดถึงความสามารถในการแข่งขันกับจีนที่กำลังตีตลาดไทย ลั่นปลาใหญ่ทยอยกินปลาเล็กหมดแล้ว
วันนี้ (3 เม.ย. 67) การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระการประชุมอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในธีม “ปัญหาเฉพาะหน้ารอได้ ปัญหาระยะไกลไม่เห็นทางออก”
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า รัฐบาลขยันแถลงผลงานมาก หลายโครงการที่อยู่ในระดับขับเคลื่อนส่งเสริมเร่งรัด แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ก็นำมาบรรจุเป็นผลงานไว้เป็นที่เรียบร้อย หลายเรื่องเล็กน้อยมากจนงงว่าเอามาเคลมได้ด้วยหรือ เช่น ขยายเวลาการเปิดสนามบินเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนตั้งตารอ แต่เอามาเป็นผลงานได้จริงหรือ ผลงานรัฐบาลเมื่อเปรียบเทียบกัน 3 เดือน และ 6 เดือน พบว่ามีแต่การผลิตซ้ำ ไม่มีอะไรใหม่
“เรื่องเพิ่มรายได้มีเพิ่มมาแค่ 2 เรื่อง คือการปรับลดภาษีไวน์และสุราแช่ สุรากลั่นของชาวบ้านยังรออยู่ ยางพาราทะลุ 80 บาท ดิฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้เลย เดี๋ยวท่านรัฐมนตรี (ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า) จะลุกขึ้นมาตอบอีกรอบหนึ่ง ขอพูดสั้น ๆ ไป” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เรื่องการขยายโอกาสไม่ต้องพูดถึง เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ แบบพาร์ทไทม์หรือไม่ อีกส่วนหนึ่งของเวลาเอาไปใช้กับการเป็นเซลล์แมนของประเทศ ทำให้ไม่มีใครมาบริหารราชการแผ่นดินแบบฟลูไทม์ สิ่งที่เราเฝ้ารอคือการฟื้นฟู กระตุ้น หรือพยุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น กลับไม่เห็น เรื่องแรกมาตรการลดรายจ่ายของรัฐบาลกำลังหมดอายุ ประชาชนสอบถามว่าการลด ลดไปตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว จะใส่มาทำไม ทำให้หนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เป็นภาระที่ต้องจ่ายเพิ่ม สะสางเพิ่ม ตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นไป
การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 1 บาทต่อลิตร หมดอายุไปตั้งแต่ 31 ม.ค. 67 ลดภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร ก็จะหมดอายุไป 19 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือไว้ ทุกวันนี้ยังตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรต่อ เรื่องการลดค่าของชีพ โดยไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาระยะยาว สิ่งที่รัฐบาลลดค่ารายจ่ายกลับมีภาระที่เกิดขึ้น เช่น กองทุนน้ำมัน ส่วนเรื่องลดภาษี ก็คงไม่ได้ไปต่อ เพราะ ครม.ไม่อนุมัติ กรมสรรพสามิตก็เก็บภาษีหลุดเป้า 3.2 หมื่นล้านบาท ภาระจึงตกไปอยู่ที่กองทุนน้ำมัน และกู้จนเต็มเพดานไปแล้ว
“ท่านจะมีแผนการจัดการอย่างไรของสถานะกองทุนน้ำมัน จะมีออก พ.ร.บ.ขยายวงเงินกู้กองทุนน้ำมันหรือไม่ แล้วจะมีพื้นที่ทางการคลังเหลืออยู่หรือไม่ เพราะเมื่อกู้แล้วจะกลายเป็นหนี้สาธารณะ ในเมื่อท่านต้องการกั้นพื้นที่นี้ไว้ทำดิจิทัลวอลเล็ต” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องการเพิ่มรายได้ขอแตะนิดเดียวคือยางพารา สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นคือเรื่องยางเถื่อน ที่ ร.อ.ธรรมนัส บอกว่าย้ายใครก็ย้ายได้ แต่ลองไปดูรายชื่อ มีแต่คนระดับปลาซิวปลาสร้อยทั้งนั้น แถมผลสอบก็ออกมาว่าไม่ผิดอะไร จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราควบคุมการนำเข้ายางพาราเถื่อนเพียงแค่ใช้ทหารควบคุมชายแดน โดยที่ไม่ได้ตรวจตราด่านศุลกากรที่ปล่อยให้มีการนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย
นางสาวศิริกัญญา ตั้งคำถามถึงนโยบายเศรษฐกิจว่า ในไตรมาส 2 ของปี เมื่องบประมาณ 67 ออกมาแล้ว จะได้เห็นมาตรการอะไรที่ช่วยพยุงกำลังซื้อในระยะสั้น ส่วนในระดับโครงสร้าง นโยบายวีซาฟรีไม่ได้ช่วยอะไรในภาคการท่องเที่ยว เป็นการคิดใหญ่ทำเล็ก ไม่ตอบโจทย์ปัญหาที่เผชิญอยู่ หากคิดว่านักท่องเที่ยวลดลงเพราะสถานการณ์โควิด เดี๋ยวนักท่องเที่ยวก็คงกลับมา เราก็จะให้วีซ่าฟรีคิดในระยะสั้น แต่เมื่อมาดูโครงสร้างพบว่าพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป จำนวนที่นั่งในเที่ยวบินนักท่องเที่ยวจากจีนมาไทยลดลง โดนญี่ปุ่นแซงไปแล้ว และยังมีเกาหลีใต้ที่หายใจรดต้นคอ จึงถามว่านโยบาย Tourism Hub จะช่วยอะไร
นอกจากนี้ การเจรจา FTA ยังสูญเปล่า เพราะผู้ส่งออกไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ภาคส่งออกก็ย่ำแย่กว่าประเทศอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน อยากให้รัฐบาลคิดถึงความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะจีนที่กำลังตีตลาด และทำให้ไทยขาดดุลการค้า ประชาชนก็ก้มหน้าก้มตารับกรรม จึงต้องทวงถาม เพราะนายกรัฐมนตรีไปให้สัมภาษณ์ว่าประเทศจีนเป็น “บิ๊กบราเทอร์” และ “ตั่วเฮีย” ตนเองไม่ได้ปกป้องในทุกอุตสาหกรรม แต่ตอนนี้ปลาใหญ่ทยอยกินปลาเล็กไปหมดแล้ว จะคุยกับตั่วเฮียว่าอย่างไร
นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า นายกฯ บอกว่าเราจะเป็น Last Man Standing เป็นฐานการผลิตสุดท้ายของรถยนต์สันดาป เราเป็นได้ แต่ต้องเตรียมการเพื่อเปลี่ยนผ่าน วันนี้มีแรงงานที่เสี่ยงตกงาน 800,000 คน ยังคงวนเวียนอยู่กับสินค้าในโลกเก่า กำลังจะตกยุค หรือลดความสำคัญลง แล้วรัฐบาลมีนโนบายรองรับหรือไม่
“ก็ต้องบอกว่าที่เราผ่านพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ ไม่ได้เกิดจากการที่พระสยามเทวาธิราชปกป้องหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใด แต่เกิดจากองค์กรที่เรียกว่าป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มาแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจให้กับเรา โดยออกรายงานมาฉบับหนึ่ง เพื่อเป่ากระหม่อมบอกว่าไม่มีวิกฤต จากนั้นรัฐบาลก็เลิกพูดว่ามีวิกฤตเศรษฐกิจทันที” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า การประโคมข่าวว่าประเทศกำลังวิกฤต เป็นการใช้กลไกพิเศษในการกู้เงินไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น ซึ่งในที่สุดก็มีความคืบหน้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายละเอียดเป็นครั้งที่ 5 รัฐบาลที่แถลงก็ยิ่งเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะแหล่งที่มาของเงิน ทั้งงบ 67, กู้ออมสิน, งบผูกพัน 67-68 และ พ.ร.บ.เงินกู้ เป็นต้น รอบนี้จะเป็นครั้งที่ 5 คาดว่าน่าจะใช้แหล่งเงินจาก 3 แหล่ง คืองบกลางปี 67, 68 และการกู้จาก ธกส. ซึ่งเป็นวิธีที่พิสดารพอสมควร นอกจากนี้ยังเปลี่ยนเงื่อนไขทั้งคุณสมบัติ ช่องทาง และระยะเวลา
“ความสับสนอลหม่านแบบนี้ แม้แต่กองเชียร์ก็ยังเหนื่อยที่จะแบกเลย สำหรับแอปพลิเคชัน เปิดฉากมาอย่างเร้าใจว่าจะใช้ซุปเปอร์แอปฯ บล็อกเชนด้วย ต่อมาบอกไม่เอาแล้ว จะใช้เป๋าตังค์ ทุกวันนี้ได้ข่าวว่ากรุงไทยบอกว่าไม่ทำ อาจจะต้องมีแอปฯ เป็นของตัวเอง เอาใจช่วยว่าจะเสร็จทันไตรมาส 4 ของ ปี 67 หรือไม่” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า 3 แหล่งที่มาของงบที่ได้ทำนายไว้ เป็นการออกสู่ทะเลไปแล้ว เพราะมูลค่า 5 แสนล้านบาท มาจากการกู้อยู่ดี ยอมรับว่าค่อนข้างเละเทะจากกาเปลี่ยนแหล่งเงินไปมาประมาณ 5 ครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะมีรอบที่ 6 หรือไม่ เลื่อนการแจกอย่างน้อย 4 ครั้ง มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีแอปพลิเคชันที่ใช้ เปลี่ยนเรื่องจำนวนคนตลอดเวลา ทำให้ชวนคิดว่าสรุปแล้วรัฐบาลนี้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อนจริงไหม เรื่องความรู้ความเข้าใจการคลังทำให้ตกใจว่าทำไมถึงกล้าออกนโยบายแบบนี้ และการที่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะ ยิ่งแสดงว่าไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใด ๆ มาตั้งแต่ต้น
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า ประเทศได้รับความเสียหาย เพราะโมเมนตัมหรือพายุหมุนทางเศรษฐกิจจะไม่เกิด คนอาจจะไม่เชื่อมั่น จึงเป็นปัญหาที่คิดว่าไม่ใช่เพราะนโยบายใดนโยบายหนึ่ง จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจได้แล้ว ตอนนี้ทำได้ไม่กี่นโยบายก็นิ่งสนิท แล้วยังต้องให้ประชาชนรอไปอีก