ภัย ‘AI’ ปลอมเสียง-ปลอมหน้าคุกคามหนัก ผู้เชี่ยวชาญชี้ ‘ต่อมเอ๊ะ’-สติ เกราะป้องกันสำคัญ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 The Reporters ร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเสวนาออนไลน์สร้างเครือข่ายความปลอดภัยดิจิทัล ครั้งที่ 5 ในหัวข้อ “AI ปลอมเสียง-ปลอมหน้า-ปลอมตัวตน: เมื่อโลกไซเบอร์แยกของจริงไม่ออก แล้วเราจะเอาตัวรอดยังไง” โดยผู้เชี่ยวชาญร่วมให้มุมมองรับมือภัย AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดอย่างกว้างขวาง
นางสาวพัชรพร พงษ์ทัดศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์สร้างความเสียหายมหาศาลทั่วโลก ปัจจุบันมิจฉาชีพยกระดับการหลอกลวงด้วยการใช้ AI ปลอมเสียง ปลอมหน้า และปลอมตัวตน ทำให้แยกแยะของจริงได้ยากขึ้น แม้ Generative AI จะมีประโยชน์ในการสร้างสรรค์ แต่ก็เป็นเครื่องมือให้ผู้ไม่หวังดีสร้างเนื้อหาปลอมเพื่อหลอกลวง โดยความเสียหายจากออนไลน์สแกมในไทยเคยสูงถึงกว่า 6 หมื่นล้านบาท และความเสียหายจาก AI กำลังเพิ่มขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า เทคโนโลยี Deepfake พัฒนาเร็วมาก และคนทั่วไปสามารถใช้สร้างวิดีโอปลอมได้อย่างแนบเนียน มีตัวอย่างคลิปปลอมเกี่ยวกับข่าวสารหรือการรถไฟไทยที่สร้างจาก AI ทั้งหมด ภัยจาก AI ไม่ได้จำกัดแค่การหลอกลวงเงิน แต่ยังถูกใช้บิดเบือนทางการเมืองระดับนานาชาติ หรือใช้ในการหาเสียง และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้คน มิจฉาชีพสามารถนำภาพหรือวิดีโอจากโซเชียลมีเดียไปสร้าง Deepfake หลอกลวงญาติพี่น้องได้ เนื่องจากภาพและเสียงจะดูเหมือนจริงมาก
ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าการตรวจสอบ Deepfake ทำได้ยากขึ้น แม้โปรแกรมตรวจสอบจำนวนมากยังพลาด อย่างไรก็ตาม อาจารย์เจษฎา แนะนำจุดสังเกตเบื้องต้นสำหรับ AI ปลอมรุ่นเก่า เช่น สีผิวที่ไม่เป็นธรรมชาติ การกระพริบตาผิดปกติ จังหวะปากกับเสียงไม่ตรงกัน และความผิดปกติที่ “มือ” ซึ่ง AI มักสร้างจำนวนนิ้วเกินหรือผิดรูป แต่จุดสังเกตเหล่านี้อาจใช้ไม่ได้ในอนาคตเนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก
ดร.ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ อ้างอิงรายงาน Global Risk Report ของ World Economic Forum ที่ระบุว่า ภัยจาก information disorder ที่สร้างโดย AI คือความเสี่ยงอันดับหนึ่งของโลกในช่วง 2 ปีนี้ AI สามารถสร้างเสียง หน้าตา และวิดีโอที่เหมือนมนุษย์จริงมาก มีกรณีโทรศัพท์หลอกว่าเป็นลูก หรือปลอมเป็น CEO เข้าประชุมออนไลน์เพื่อหลอกให้โอนเงิน ซึ่งสร้างความเสียหายหลายร้อยล้านบาทในฮ่องกง ดร.ปริญญา คาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่ยุค AGI (Artificial General Intelligence) ที่ AI จะมีความสามารถสูงจนแทบแยกไม่ออก
แนวทางเอาตัวรอดที่สำคัญที่สุดคือ การใช้เหตุผล การคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ไม่ควรเชื่อสิ่งที่เห็นหรือได้ยินทันที ต้องตั้งคำถามและพิจารณาความสมเหตุสมผล การมี “ต่อมเอ๊ะ” หรือความสงสัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่าตกเป็นเหยื่อความกลัวหรือความโลภ และควรชะลอการตัดสินใจหรือตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ดูเร่งด่วน
ผู้ร่วมเสวนายังกล่าวถึงผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอาชีพที่ทำงานซ้ำๆ ซึ่งอาจถูกแทนที่ด้วย AI ทำให้คนจำนวนมากเสี่ยงตกงานในอนาคต ดังนั้น การพัฒนาทักษะ (อัพสกิล-รีสกิล) ให้สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็น สถาบันการศึกษาต้องปรับการเรียนการสอนให้เด็กรู้จักใช้ AI อย่างถูกต้องและยังคงทักษะการคิดวิเคราะห์
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์กำลังเร่งส่งเสริม AI Literacy หรือการรู้เท่าทัน AI โดยจัดกิจกรรมเสวนา จัดทำคู่มือ และพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ “ดิจิทัล คิดส์” ซึ่งมีมินิเกม “Zubot AI” ช่วยสอนหลักการทำงานเบื้องต้นของ AI รวมถึงให้ทุนสนับสนุนโครงการ และร่วมมือกับโครงการต่างๆ เช่น “ชัวร์ก่อนแชร์” นางสาวพัชรพร กล่าวว่า กองทุนฯ จะเน้นให้ความรู้เรื่องการใช้ AI ในทางที่ผิด และอาจผลักดันเรื่องจริยธรรมในการใช้ AI ในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญย้ำในตอนท้ายว่า แม้มีเครื่องมือทางเทคนิคช่วยตรวจสอบ แต่ความรู้สึกและสัญชาตญาณก็สำคัญ อย่าเชื่อคำตอบจาก AI ทั้งหมด เพราะ AI สามารถให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนได้ (hallucinate) สิ่งสำคัญคือการกลับสู่พื้นฐานของการคิด อ่าน เขียนด้วยตนเอง และใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือ จำเป็นต้องมีหน่วยงานเฉพาะหรือแคมเปญขนาดใหญ่เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเตือนภัย AI แก่ประชาชนอย่างจริงจัง