KNOWLEDGE

สวรส.ศึกษาสถาปัตยกรรมส่งเสริมพัฒนาการ เป็นต้นแบบพัฒนาสิ่งแวดล้อมศูนย์ฯ เด็กพิเศษ

รศ.ดร.นวลวรรณ ทวยเจริญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักวิจัยเครือข่ายสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เดินหน้าศึกษา ‘สถาปัตยกรรม’ กับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษ ภายใต้โครงการวิจัย การพัฒนาสภาพแวดล้อม ศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษ และโรงเรียนเด็กพิเศษที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาการ หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กออทิสติก เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโควิด-19 ซึ่งพบว่ารูปแบบ “สถาปัตยกรรม” มีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และออทิสติกได้จริง

ทั้งนี้งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ และพบว่าในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาประเด็นนี้อย่างจริงจัง ทางเครือข่ายนักวิจัย สวรส.จึงเดินหน้าพิสูจน์ โดยการทดสอบในสถานที่จริง ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่รับผิดชอบในการดูแลเด็กพิเศษกว่า 500 คน ใน 16 อำเภอของจังหวัดอยุธยา ซึ่งผลการศึกษาที่เกิดขึ้น ภายใต้โครงการวิจัยฯ หวังว่าจะเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการพัฒนาสภาพแวดล้อมศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษ และโรงเรียนเด็กพิเศษแห่งอื่นๆที่เหมาะสมต่อไป

รศ.ดร.นวลวรรณ กล่าวว่า “ตัวอย่างกรณีศึกษาการออกแบบสภาพแวดล้อม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กออทิสติก ของวิทยาลัยสถาปัตยกรรม และการวางผังเมือง มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส สำหรับเด็กออทิสติกสเปกตรัม (ASD) โดยสร้างโครงสร้างพื้นผิวที่นุ่ม และยืดหยุ่นสำหรับการเรียนรู้ของเด็กออทิสติก หรือกรณีของสถาปนิกชาวออสเตรเลีย ได้ออกแบบโรงเรียนให้มีพื้นที่การเรียนรู้กลางแจ้งรอบๆ ลานสนามที่เชื่อมต่อกัน รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่รับแสงแดดได้โดยตรง”

“ขณะที่การศึกษาการออกแบบสภาพแวดล้อม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กดาวน์ซินโดรม ซึ่งการออกแบบโดยใช้โทนสีต่างๆ มีผลต่อการกระตุ้นพัฒนาการและการเรียนรู้ เช่น โครงการ “DOWN SYNDROME OF LOUISVILLE” ที่รัฐเครตักกกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเลือกใช้บานเกล็ดภายใน และพื้นที่สีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้มีการเลือกการใช้สีโทนสดใส ภายในอาคารเพื่อช่วยสร้างความสนุกสนาน และประสบการณ์การเรียนรู้ แต่ด้วยข้อจำกัดของงานศึกษาวิจัยต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ และพบว่าในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาประเด็นนี้อย่างจริงจัง ดังนั้นเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ทางเครือข่ายนักวิจัย สวรส.จึงเดินหน้าพิสูจน์โดยการทดสอบในสถานที่จริง ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่รับผิดชอบในการดูแลเด็กพิเศษกว่า 500 คน ใน 16 อำเภอของจังหวัดอยุธยา”

“ภายหลังการศึกษาและปรับปรุง ห้องเรียนต้นแบบ พร้อมวัดผลก่อน-หลัง พบว่าพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 กลุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และสภาพแวดล้อมที่ออกแบบใหม่นี้ ยังมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยง การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆได้อีกด้วย หลักๆเราใช้วิธีกระตุ้นเด็กด้วยสีสันต่างๆ ที่ใช้ภายในห้อง การจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการใช้แสงสว่าง อย่างเช่น เด็กออทิสติกที่มักจะวอกแวก อยู่ไม่นิ่ง หรืออารมณ์รุนแรง ห้องที่เป็นลักษณะโทนเย็น ก็จะช่วยให้เกิดความสงบมากขึ้น ขณะที่เด็กดาวน์ซินโดรมที่มักอยู่นิ่ง ห้องในลักษณะโทนร้อน ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น สำหรับผลการศึกษาที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการวิจัยฯ หวังว่าจะเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการพัฒนาสภาพแวดล้อมศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษ และโรงเรียนเด็กพิเศษแห่งอื่นๆ ที่เหมาะสมต่อไป”

นางอำไพพิศ บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า “ที่ผ่านมาการดูแลเด็กพิเศษ อาจมุ่งเน้นไปในส่วนของการศึกษา การพัฒนาบุคลากร และอาจลืมมองไปถึงรายละเอียดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี รูปทรง หรือการใช้แสงสว่าง จนเมื่อมีโครงการวิจัยฯเข้ามา จึงทำให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกับพัฒนาการของเด็ก พอเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องเรียนก็ตื่นเต้นแทนเด็ก ด้วยสีสันที่เห็นได้ว่าช่วยจูงใจ ให้เด็กอยากเข้าห้องเรียน อย่างเด็กดาวน์ซินโดรม จะแสดงออกมาชัดเจนว่าตื่นเต้นกับห้องเรียนใหม่ เข้ามาลูบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ขณะเดียวกันเราก็ได้ห้องเรียนที่เป็นระเบียบ โปร่งสบาย เหมาะกับการเรียนมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น หรือในส่วนของสวน จากเดิมที่เป็นเพียงสนามเด็กเล่น พอมีเรื่องของสี มีความแตกต่างของผิวสัมผัสเข้ามา ก็ช่วยให้เด็กเล่นแบบมีเป้าหมาย ได้ประโยชน์จากการเล่นมากขึ้น”

“หลังจากเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทางศูนย์ฯจึงมีความตั้งใจ ที่จะนำไปพัฒนาห้องเรียนอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ ต่อพัฒนาการของเด็กแต่ละกลุ่มต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ในส่วนของผู้ปกครองบางรายเอง ก็พบว่ามีความตั้งใจที่จะกลับไป ปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังเห็นว่าลูกของตน มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น”

ขณะที่ ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กพิเศษ หรือคนทั่วไป เป็นที่ทราบกันดีว่า สี นั้นมีผลต่อสภาพจิตใจของเราพอสมควร และงานวิจัยชิ้นนี้ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อม ช่วยส่งผลต่อการเรียนรู้ และความปลอดภัยของเด็กพิเศษได้อย่างมาก ทาง สวรส.ยังอยากให้เกิดการช่วยกันคิดต่อ และมองอย่างเป็นเชิงระบบ ว่าเราจะขยายห้องเรียนเหล่านี้ไปสู่ที่อื่นๆ มากขึ้นได้อย่างไร อย่างที่นี่เป็นศูนย์ฯหลักประจำจังหวัด และยังมีศูนย์ย่อยอยู่ในทุกอำเภอ จะมีการปรับแนวคิดเหล่านี้ไปสู่แห่งอื่นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน หรือในแง่ของการดูแลคนพิการด้านอื่นๆ จะสามารถปรับสภาพแวดล้อม การดูแลได้ด้วยหรือไม่อย่างไร ดังนั้นเราคงไม่หยุดแค่นี้ แต่ยังมีโจทย์ที่จะขยายผลต่อไปได้อีกมาก”

ด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า “เป้าหมายหลักของ สวรส.คือการให้ทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย ในเชิงการแพทย์และสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นความพยายาม หาคำตอบว่าช่องว่างอยู่จุดใด จำเป็นต้องไปปรับแก้นโยบาย หรือกฎหมายอะไรบ้าง และอีกส่วนสำคัญคือการดำเนินการนำร่อง เพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่าง ที่จะสามารถนำไปสู่การขยายผลต่อไปได้มากขึ้น”

Related Posts

Send this to a friend