ถึงเวลาที่ไทยต้องกังวลกับวิกฤตออกซิเจนทางการแพทย์หรือไม่
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศจนเกิดปัญหาเรื่องการหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษา โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลที่มีการระบาดรุนแรง ข้อมูลล่าสุด (12 กรกฎาคม 2564) มีผู้รักษาตัวอยู่ 90,578 ราย อาการหนัก 2,895 ราย และใช้เครื่องช่วยหายใจ 747 ราย ส่งผลให้ต้องปรับรูปแบบ และสงวนเตียงสำหรับผู้ป่วยสีเหลือง และสีแดง รวมถึงจัดให้มี Home Isolation และ Community Isolation
The Reporters ได้รับเคสการขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องผลิตออกซิเจนเร่งด่วน เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยรอเตียง ผู้ที่กำลังรอผลตรวจโควิด แต่มีอาการวิกฤตไปจนถึงกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่ยังไม่ได้รับการตรวจโควิด-19 และได้รับแจ้งจากหลายฝ่ายว่า ขณะนี้เครื่องผลิตออกซิเจนกำลังเป็นที่ต้องการ เริ่มมีผู้มีกำลังซื้อจัดหาเครื่องไว้เผื่อที่บ้าน และมีผู้ที่ต้องการจัดหาเพื่อบริจาคไปยังมูลนิธิ โรงพยาบาลสนาม และผู้จำเป็นอื่นๆ ด้วย จนเกิดคำถามในสังคมว่า เราต้องกังวลกับการขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์แล้วหรือยัง
WHO ห่วง หลายประเทศอาจขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO อธิบายว่า ออกซิเจนทางการแพทย์ที่อยู่ในรูปถังอากาศ จะมีออกซิเจนเกือบ 100% หรืออาจพูดได้ว่า เป็นออกซิเจนบริสุทธ์ หรือ Pure Oxygen ต่างจากอากาศที่เราหายใจอยู่ทุกวัน ที่ประกอบด้วย ไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% และสารอื่นๆ อย่างอาร์กอน 0.934% คาร์บอนไดออกไซค์ 0.031%
สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง จากการที่ร่างกายเกิดการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม (ไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย) เกิดการอักเสบ ถุงลมทำงานผิดปกติ หลอดเลือดได้รับออกซิเจนน้อยลง และอาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จนถึงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ออกซิเจนทางการแพทย์ หรือออกซิเจนบริสุทธิ์ จึงมีความสำคัญอย่างมาก และ WHO เริ่มกังวลถึงความสามารถในการเข้าถึงออกซิเจนทางการแพทย์ และการขาดแคลนออกซิเจนในหลายประเทศ เนื่องจากการสกัดออกซิเจนทางการแพทย์ใช้เทคโนโลยีและเงิน
อินเดีย เป็นประเทศหนึ่งที่ประสบปัญหาขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์ แม้จะสามารถผลิตออกซิเจนได้มากกว่า 7,000 ตันต่อวัน แต่ส่วนใหญ่มีไว้สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม แม้จะสามารถเปลี่ยนวัตถุประสงค์มาใช้ในทางการแพทย์ได้ แต่ปัญหาสำคัญของอินเดีย อยู่ที่ระบบการขนส่งและการจัดเก็บ เพราะออกซิเจนเหลวที่อุณหภูมิต่ำมาก จะต้องถูกขนส่งในเรือบรรทุกสำหรับการแช่แข็ง ไปยังผู้จัดจำหน่าย ซึ่งจะเปลี่ยนของเหลวเป็นก๊าซสำหรับบรรจุถังอีกที แต่อินเดียขาดแคลนเรือบรรทุกสำหรับแช่แข็งออกซิเจนเหลว นอกจากนี้ ผู้ผลิตออกซิเจนส่วนใหญ่ของอินเดีย ยังอยู่ทางตะวันออก ในขณะที่ความต้องการออกซิเจนที่เพิ่มสูงขึ้น กลับอยู่ในเมืองต่างๆทางตะวันตก เช่น มุมไป และทางตอนเหนือ เช่น กรุงเดลี
วิกฤตขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของอินเดีย เต็มไปด้วยโพสต์จากครอบครัวที่สิ้นหวัง ในการตามล่าหาออกซิเจน โดยบางรายยอมจ่ายสูงกว่าราคาตลาด 10 เท่า ขอเพียงให้ได้ถังออกซิเจนและออกซิเจนเพื่อการแพทย์มา ทำให้ตลาดมืดในอินเดีย ได้โอกาสกอบโกยผลประโยชน์จากประชาชนที่กำลังทุกข์ยาก
ส่วนที่อินโดนีเซีย รัฐบาลของอินโดได้สั่งการให้บริษัทผู้ผลิตออกซิเจน เพิ่มกำลังการผลิตออกซิเจนทางการแพทย์ สำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโควิด หลังเกิดกรณีผู้ป่วยโควิดเสียชีวิต 63 คน ภายในโรงพยาบาลซาร์ดจิโต บนเกาะชวา ซึ่งกำลังประสบปัญหาออกซิเจนใกล้หมด
หลังเกิดเหตุ โฆษกโรงพยาบาลยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ผู้ป่วยทั้งหมดเสียชีวิตเนื่องจากโควิดหรือสาเหตุใด ขณะที่โรงพยาบาลออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า มีความพยายามจัดหาออกซิเจนสำรองอย่างต่อเนื่อง ในช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มสูงขึ้นมาก ตั้งแต่วันศุกร์ ทำให้มีการใช้ออกซิเจนมากกว่าที่คาดไว้
กระทรวงที่เกี่ยวข้องในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ของอินโดนีเซีย สั่งการให้บริษัทในอุตสาหกรรมผลิตแก๊ส ให้ความสำคัญกับการเพิ่มกำลังการผลิตออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งาน ณ ปัจจุบัน ที่สูงถึงราว 800 ตันต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมา อินโดนีเซียสามารถผลิตออกซิเจนทางการแพทย์ได้สูงถึง 225,000 ตันต่อปี
เอกชนรายใหญ่ยืนยันไทยไม่มีปัญหาออกซิเจนทางการแพทย์ สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกมา
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ผู้ผลิตออกซิเจนรายใหญ่ของไทย มั่นใจว่า ประเทศไทยจะไม่เจอกับวิกฤตขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์ เหมือนที่หลายประเทศในภูมิภาคกำลังเผชิญอยู่ เพราะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้สูงถึงเกือบ 1,150 ตัน/วัน ขณะที่ความต้องใช้ในปัจจุบันอยู่ที่ 400 ตัน/วัน
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี ในฐานะผู้ผลิตออกซิเจนรายใหญ่ของประเทศ กล่าวถึงกรณีที่หลายคนเริ่มกังวลต่อสถานการณ์ออกซิเจนทางการแพทย์ของไทย ว่า บีไอจีสามารถผลิตออกซิเจนรองรับระบบสาธารณสุขไทยได้อย่างเนื่องและเพียงพอในระยะยาว โดยขณะนี้ มีกำลังการผลิตออกซิเจนสูงถึง 1,000 ตัน/วัน ขณะที่ความต้องการใช้ในภาวะปกติ อยู่ที่ 300-350 ตัน/วัน ส่วนสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ต่อวันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประมาณ 20% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 400 ตัน/วัน ซึ่งทางบีไอจีมีแผนเตรียมพร้อม เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ไว้แล้ว ด้วยการบริหารจัดการกำลังการผลิต การขนส่ง และการสำรองออกซิเจนเหลวในถังเก็บสำรอง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ขนาดความจุกว่า 7,300 ตัน และในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ จะเปิดโรงงานแยกอากาศ (ASU) แห่งใหม่ ทำให้มีกำลังการผลิตออกซิเจนเพิ่มขึ้นอีก 140 ตัน/วัน รวมเป็นเกือบ 1,150 ตัน/วัน
สำหรับสถานการณ์ขาดแคลนออกซิเจนในหลายๆประเทศ อุปสรรคสำคัญนอกจากปริมาณการผลิตที่จำกัด คือ การขนส่งในรูปสถานะก๊าซ (Gas) ทำให้ถูกจำกัดปริมาณการขนส่ง แต่สำหรับประเทศไทย บีไอจี ให้ข้อมูลว่า เป็นการขนส่งในรูปของเหลว (Liquid) ก่อนจะนำมาเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซ ณ โรงพยาบาล ซึ่งการขนส่งแบบนี้ มีปริมาณออกซิเจนมากกว่าการขนส่งในรูปของก๊าซ กว่า 800 เท่า
แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนอย่างเร่งด่วน บีไอจียืนยันว่า สามารถปรับเปลี่ยนระบบการแยกอากาศให้ผลิตออกซิเจนเพิ่มขึ้น โดยลดการผลิตไนโตรเจนลง รวมทั้งการนำออกซิเจนจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความบริสุทธิ์ด้วยมาตรฐานเดียวกัน มาเสริมความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ได้อีกด้วย
หน่วยงาน องค์กร ในไทยจับมือกันช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้น
แม้ผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศไทย จะให้ความมั่นใจในเรื่องปริมาณออกซิเจนทางการแพทย์ที่เพียงพอแล้ว แต่เมื่อมองถึงการใช้งานจริง ก็ยังคงมีความกังวล โดยเฉพาะในกลุ่มรายบุคคล หรือชุมชน เนื่องจากการใช้งานออกซิเจนทางการแพทย์ จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านมากฝึกอบรม หรือบุคลากรทางการแพทย์ในการใช้งาน หรือต้องมีเครื่องผลิตและจ่ายออกซิเจนอัตโนมัติเพื่อจ่ายออกซิเจนสู่ผู้ต้องการอีกด้วย จึงจำเป็นต้องมีการวางแผน และการจัดสรรที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเราจะเข้าสู่การทำ Home Isolation หรือ Community Isolation
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ในประเทศยังมีการแบ่งปัน และช่วยเหลือกันอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิกระจกเงา ได้ประกาศให้ยืมถังออกซิเจน และชุดต่อพ่วงสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรม หรือแพทย์ใช้งานสำหรับผู้ป่วย ชุมชนที่ต้องการและไม่สามารถจัดหาได้ หรือโรงพยาบาลสนามต่างๆ ซึ่งถังออกซิเจนของกระจกเงามีผู้แจ้งขอยืมหมดอย่างรวดเร็ว จนมูลนิธิต้องประกาศขอถังออกซิเจนที่ไม่ใช้งานแล้วอายุไม่เกิน 5 ปี มาซ่อมบำรุงเพื่อใช้งานส่งต่อให้ผู้ป่วยต่อไป โดยสามารถบริจาคเข้ามาได้ที่ มูลนิธิกระจกเงาเลขที่ 191 ซอยวิภาวดีรังสิต 62 แยก 4-7แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. 10210
นอกจากนี้ยังมีร้าน และองค์กรเอกชนอีกหลายรายที่เปิดให้อาสา และกู้ภัยที่ต้องการเติมออกซิเจน (แบบถัง) สามารถเข้ามาเติมได้ฟรี เช่น นนทบุรีอ็อกซิเย่น หรือร้าน โลตัสออกซิเยน รวมไปถึงผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องผลิตออกซิเจนที่สอบถามผู้ซื้อก่อนการสั่งจองถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้าอีกด้วย
เมื่อทั้งรายใหญ่ยืนยันความพร้อม และรายเล็กรวมถึงองค์กรต่างๆ พร้อมใจกันลดโอกาสในการเกิดการขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์เพื่อช่วยต่อชีวิตและลมหายใจให้ผู้ป่วยแล้ว ขอเพียงไม่มีผู้กักตุนเครื่อง หรืออุปกรณ์เพื่อเก็งกำไร หรือการโก่งราคา เชื่อว่าภาวะขาดแคลนออกซิเจนทางการแพทย์ หรือเครื่องผลิตออกซิเจนน่าจะไม่เกิดขึ้นกับไทยเราดังเช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ