ดูแลสุขภาพรับวันแม่ พาตรวจสุขภาพ ป้องกันโรคภัยในสตรีทุกวัย
นอกจากการมอบของขวัญแล้ว การดูแลสุขภาพให้กับแม่ในช่วงวันแม่แห่งชาติ ก็ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความรักได้อีกทางหนึ่ง หรือแม้แต่คุณแม่มือใหม่ ที่เป็นสาวออฟฟิศ หันมาดูแลตัวเอง ก็ช่วยป้องกันโรคและทำให้สุขภาพแข็งแรงได้อีกด้วย
พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง จาก สสส. เปิดเผยกับ The Reporters ว่า การควบคุมหลัก 3 ประการ หรือ “Know Your Number” ที่ช่วยคุมคุมน้ำหนัก ที่สามารถทำเองได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ เพื่อลดโรคในคุณแม่ ทั้งกลุ่มโรคที่เชื่อมโยง จากการมีน้ำหนักตัวหรือเป็นอ้วนเป็นสาเหตุหลัก เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์อัมพาต หรือแม้แต่โรคออฟฟิศซินโดรม โรคยอดฮิตของคุณแม่มือใหม่วัยทำงาน ที่จำเป็นต้องหมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 1 ชั่วโมง และกลุ่มโรคที่ป้องกันได้ เช่น มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม โดยการหมั่นไปตรวจสุขภาพ รวมถึงการเช็คสัญญาณ ความผิดปกติด้วยตัวเอง และการเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้คุณแม่ยุคใหม่ มีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม
พญ.วรรณี กล่าวว่า “ในเดือนวันแม่แห่งชาติ ก็ขอรณรงค์ให้คนไทย หันมาดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่มือใหม่ หรือคุณแม่ที่มีลูกหลานแล้ว โดยการรู้จักหลัก Know Your Number หรือ รู้จักตัวเลขของตัวเอง ใน 3 เรื่อง คือ 1.น้ำหนักตัว 2.รอบเอว.3.ความดันโลหิต ซึ่งเราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ เพราะหากคุณแม่สามารถควบคุมทั้ง 3 ปัจจัยนี้ได้ แน่นอนว่าก็จะช่วยลดโรคในกลุ่มของ โรคหัวใจ,โรคความดันโลหิต และโรคอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะทั้ง 3 โรคที่กล่าวมา มีสาเหตุมาจากโรคอ้วนน้ำหนักตัวเกินนั่นเอง ทั้งนี้วิธีเช็คว่าความดันโลหิตของเราปกติหรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากการวัดความดันโลหิตด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปหาหมอ”
“หากความดันโลหิตตัวบน และตัวล่างอยู่ที่ 120-80 มิลลิเมตรปรอท หรือบวกลบได้ไม่เกิน 10 สำหรับความดันโลหิตตัวบน และบวกลบตัวล่างได้ไม่เกิน 5 ถือว่าความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ แต่เมื่อไรที่เราอายุมากขึ้น ความดันโลหิตมักจะขยับไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราหันกลับมาดูแลสุขภาพผู้สูงอายุนั่นเอง โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนัก เพราะหากเรารู้จักตัวแลตัวเลขทั้ง 3 ปัจจัยได้ (น้ำหนักตัว รอบเอว ความดันโลหิต) จากการกินให้ถูกต้อง ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ และหมั่นออกกำลังกาย โดยปราศจากพฤติกรรมเนือยนิ่ง หรือการนั่งอยู่เฉยๆ ก็ช่วยให้มีสุขภาพดีได้ ป้องกันทั้ง 3 โรคได้เช่นกัน (โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต และโรคอัมพฤกษ์อัมพาต)”
คุณแม่วัยทำงานบอกลาออฟฟิศซินโดรม-อ้วนลงพุง ให้หมั่นลุกขยับร่างกายทุกๆ 1 ชั่วโมง
“ส่วนคุณแม่มือใหม่ที่ทำงานออฟฟิศ ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งมักจะมีอาการไหล่ตึง คอตึง ปวดร้าวต้นคอถึงบริเวณหัวไหล่ ขัดยอกบริเวณหัวไหล่ถึงบริเวณเอว เนื่องจากการนั่งทำงานนานๆ แนะนำว่าทุกๆ 1 ชั่วโมง ให้ลุกขึ้นมาขยับร่างกาย ด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และบิดลำตัว เป็นเวลา 5 นาที และการที่คุณแม่ที่นั่งโต๊ะทำงานนานๆ โดยไม่ลุกขยับร่างกาย ก็สามารถเป็นโรคอ้วนได้เช่นกัน หรือแม้แต่คุณแม่ที่มีลูกเล็ก ก็จำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เช่น การให้คุณพ่อช่วยดูแลลูก เพราะการนอนไม่พอจะทำให้สมองไม่ได้พัก เนื่องจากเวลาที่เรานอนร่างกายจะซ่อมแซมตัวเอง แต่ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากสมองไม่ได้พัก ก็จะสุขภาพไม่ดี และอวัยวะในร่างกายไม่ได้รับการฟื้นฟู ทำให้เจ็บป่วยด้วย โรคความดันโลหิต หัวใจ และเบาหวาน ได้เช่นกัน”
มะเร็งปากมดลูก-มะเร็งเต้านม โรคทางสตรีที่ไม่ควรละเลย ใช้เดือนวันแม่แห่งชาติตรวจเช็คสุขภาพ
นอกจากนี้โรคทางสตรีของผู้หญิง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งโรคกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการคัดกรองจากแพทย์ ด้วยการตรวจภายในประจำปี เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก ที่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ เพื่อนำเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอด ไปตรวจหาเชื้อมะเร็ง เพราะหากพบเร็วก็จะรักษาได้ทันเวลา นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านม ที่พบได้ในผู้หญิงนั้น หากว่าเรามีประวัติครอบครัวเช่น แม่และยายป่วยโรคมะเร็งเต้านม ก็ควรไปตรวจคัดกรองโรค ที่โรงพยาบาลเป็นประจำทุกปี แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคน ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะต้องป่วยทุกคนเสมอไป แต่ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทนั้น แนะนำให้ตรวจด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาล และไม่ต้องเสียเงิน เช่น การหมั่นตรวจคลำก้อน หรือความผิดปกติบริเวณเต้านมทั้ง 2 ข้าง ทั้งหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ หรือพาคุณแม่ พี่สาว น้องสาว ไปพบแพทย์โดยทันที
โรคฟัน-โรคกระดูก ปัญหาสุขภาพที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น หมั่นพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เลือกกินอาหารบำรุงกระดูกและฟัน ไม่ลืมควบคุมน้ำหนักตัว
“สำหรับกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับฟันนั้น จำเป็นต้องได้รับการตรวจโดยทันตแพทย์ ดังนั้นทุกๆ 6 เดือนควรไปพบหมอฟัน ซึ่งไม่จำเป็นรอให้มีอายุเยอะ แต่วัยรุ่นวัยทำงาน ก็สามารถเริ่มดูแลสุขภาพฟันได้ ด้วยการกินอาหารที่ช่วยบำรุงทั้งฟัน และกระดูกไปพร้อมๆกัน เช่น การดื่มนมที่มีแคลเซียม และการกินผักใบเขียว ที่มีวิตามินดี ช่วยบำรุงฟันและกระดูกให้แข็งแรง หรือแม้แต่การเดินตากแดดตอนเช้านั้น ก็สามารถเพิ่มวิตามินดีให้ร่างกายได้เช่นกัน”
“ส่วนคุณแม่คนไหน ที่เป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งความจริงแล้วโรคนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่ออายุมาก สิ่งที่จะช่วยชะลอหรือทำให้โรคนี้เกิดได้ช้าลง หรือเป็นการยืดระยะเวลา ของโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท คือการหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้กระดูกแข็งแรงป้องกันกระดูกพรุนและสึกกร่อนก่อน หรือแตกหักก่อนเวลาอันควร รวมถึงโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคไขข้อเสื่อมที่ทำให้คุณแม่รู้สึกปวดข้อนั้น ก็แนะนำว่าให้ลดละเลิก การใช้งานของข้อที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยกของหนักผิดท่า หรือแม้แต่อาการปวดหลังคนวัย 40 ปีขึ้นไป ส่วนหนึ่งเกิดจากการน้ำหนักตัวมากเกินไป ดังนั้นการดูแลน้ำหนัก หรือ ทำให้ค่าดัชนีมวลกายอยู่ในระดับปกติ หรือ ค่า BMI ปกติ ก็จะช่วยลดปัญหาข้อเข่าเสื่อม และอาการปวดหลังได้ในคราวเดียวกัน”
“สำหรับสูตรของการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย หรือน้ำหนักตัวนั้น ประกอบด้วยน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิง น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร สำหรับการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ (1.60 * 1.60) ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ 2.56 จากนั้นค่าดัชนีมวลกาย(BMI) 50 ÷ 2.56 = 19.5 ดังนั้นน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมก็ถือว่าเป็นน้ำหนักตัวที่ปกติ แต่ถ้าหากสูง 150 เมตร และหนัก 50 กิโลกรัม ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ (1.50 * 1.50) =2.25 ค่าดัชนีมวลกาย(BMI) 50 ÷ 2.25 =22.2 ถือว่าอยู่ในขอบข่ายอ้วน”
“ทั้งนี้หากคำนวณค่าดัชนีมวลกายแล้วอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 กิโลกรัมต่อรางเมตร ถือว่าน้ำหนักปกติ หากคำนวณค่าดัชนีมวลกายแล้วอยู่ระหว่าง 24.9 กิโลกรัมต่อรางเมตรถือว่าท้วมเล็กน้อย แต่ถ้าหากคำนวณค่าดัชนีมวลกาย แล้วอยู่ระหว่าง 25.5 กิโลกรัมต่อรางเมตร ถือว่าอ้วน ถ้าหากคำนวณค่าดัชนีมวลกายแล้วอยู่ระหว่าง 30.0 กิโลกรัมต่อรางเมตร ถือว่าอ้วนมากเกินไป”
โรคที่เกี่ยวกับสุขภาพของแม่นั้น สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเองจากหลัก 3 ประการ และการหมั่นไปพบแพทย์สม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจเช็คความผิดปกติ ของตัวเองแต่เนิ่นๆ ดังนั้นเดือนวันแม่แห่งชาติ ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ในการดูแลสุขภาพคุณแม่ทุกคน …จริงไหมคะ