FEATURE

ปัญหาในปัญหา แม่น้ำปนเปื้อนสารโลหะหนัก

ภาสกร จำลองราช

แม้ว่ารัฐบาลพยายามทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก แต่กรณีของสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เกินมาตรฐานเนื่องจากการทำเหมืองแร่ที่ต้นแม่น้ำของทหารว้าและคนจีน ไม่อาจทำให้เล็กได้ เพราะเป็นเรื่องความเสี่ยงของชีวิตคนนับล้าน และมีข้อเท็จจริงในแม่น้ำเป็นประจักษ์ ดังนั้นวิธีคิดที่ทำให้เรื่องใหญ่ดูเล็ก พยายามกลบเกลื่อนปัญหาเพื่อทำให้ดูเหมือนสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง

ผลตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกกเกินมาตรฐานครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ทั้ง 3 จุดที่เก็บตัวอย่างน้ำ และอีก 3 วันต่อมา ก็พบสารโลหะหนักตัวเดียวกันในแม่น้ำกกที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงราย แม้จะเกินค่ามาตรฐานเพียงเล็กน้อย และน้ำเสียงในการให้ข่าวของทางจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามทำให้เป็นเรื่องเล็ก โดยชี้ว่า “เกินค่ามาตรฐานเพียงเล็กน้อย” เท่านั้น แต่คำประกาศห้ามประชาชนเล่นน้ำและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแม่น้ำกก กลับเป็นคำตอบชัดเจนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน

ในช่วงเดือนแรกที่พบปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก รัฐบาลแทบไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลยโดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเป็นประเด็นใหญ่ระหว่างประเทศที่เกินขอบเขตอำนาจท้องถิ่นไปแล้ว ยิ่งเรามีความอ่อนแอด้านการกำกับดูแลของฝ่ายความมั่นคงในแนวชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือเป็นตัวซ้ำเติม ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากกว่าที่ท้องถิ่นจะจัดการได้ กลไกระดับท้องถิ่นคือ TBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา) จึงถูกพูดถึงน้อยมาก ทั้งๆ ที่เคยเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ในพื้นที่ชายแดน

ขณะเดียวกันรัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการทุ่มเทงบประมาณให้หน่วยงานทหารพัฒนาดำเนินการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก พร้อมกับการตีปี๊บให้ประชาชนเห็นถึงความใส่ใจแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะแม่น้ำสายซึ่งมีการสร้างพนังกั้นตลิ่งโดยเวนคืนและรื้อบ้านที่ขวางทางน้ำ แต่นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหา “คนละเรื่องเดียวกัน” เพียงสร้างฉากทัศน์ให้ประชาชนหันมาจดจ่อกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ปัญหาใหญ่ทั้งกรณีน้ำท่วมโคลนทะลักและสารพิษโลหะหนักปนเปื้อนต่างมีต้นเหตุมาจากการทำเหมืองแร่กลางแม่น้ำและการขุดเจาะบริเวณต้นแม่น้ำสาย แต่รัฐบาลกลับไม่มีการพูดถึงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ

การที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณในการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยไม่ได้คำนึงถึงตะกอนและดินที่ขุดขึ้นมานั้น มีสารพิษโลหะหนักปนเปื้อนอยู่มากน้อยแค่ไหน สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในปัญหาของรัฐบาล และยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหามีแนวโน้มซับซ้อนมากขึ้น หากมีการตรวจพบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในดินที่ขุดลอกขึ้นมาโดยไม่มีแผนรับมือ ย่อมเป็นการแพร่กระจายสารพิษเหล่านี้ออกสู่วงกว้างมากขึ้น หากนำไปใช้ปลูกพืช ผลผลิตที่ออกมาย่อมมีความเสี่ยงปนเปื้อนสารโลหะหนัก

หากรัฐบาลเห็นว่าเป็นมหันตภัยตั้งแต่ตรวจพบสารพิษในแม่น้ำ การจัดการปัญหาย่อมไม่มีความหละหลวมเช่นในปัจจุบัน แต่ในช่วงแรกรัฐบาลแทบไม่มีแผนงานในการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนออกมาเลย เพียงแค่ตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำเป็นระยะๆ เท่านั้น แต่การจัดการกับปัญหาอื่นที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องกลับไม่มี แม้ว่าหน่วยงานราชการมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย

เมื่อมีคำถามจากประชาชน แต่คำตอบกลับเพิ่มความคลุมเครือ เช่น ถามว่าปลาในแม่น้ำกกกินได้หรือไม่ คำตอบคือผลการตรวจปลาไม่พบสารโลหะหนักในปลาแต่ไม่แนะนำให้กิน หรือ ถามว่าน้ำกกสามารถนำไปใช้ทำนาได้หรือไม่ คำตอบคือน่าจะใช้ได้แต่ควรใส่ปูนขาวเท่านั้นเท่านี้

คำตอบที่ตั้งใจให้คลุมเครือเพราะกลัวว่าประชาชนจะแตกตื่น รัฐบาลจึงพยายามกดปัญหาไม่ให้โผล่ออกมาให้เห็น ซึ่งเป็นวิธีคิดที่เป็นอันตรายมากสำหรับประชาชนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะ “เสี่ยง”จากการเผชิญกับสารโลหะหนักในแม่น้ำและสิ่งแวดล้อม เพราะแทนที่พวกเขาจะได้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและวางแผนรับมือจัดการความเสี่ยง กลับถูกปิดกั้นและไม่สามารถวางแผนของตนเองได้

เมื่อมีนักวิชาการใช้ชุดตรวจเบื้องต้น ลงพื้นที่ตรวจคุณภาพน้ำหรือตะกอนดิน หรือบ่อน้ำตื้นริมแม่น้ำ ก็ถูกมองว่าผลที่ออกมาสร้างความปั่นป่วนและสับสนให้กับประชาชน แทนที่จะเห็นเป็นการช่วยกันคนละไม้คนละมือ และเป็นเข็มทิศให้หน่วยงานราชการลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้ถูกจุด และพื้นที่นั้นประชาชนกำลังรู้สึกหวาดหวั่น รัฐราชการกลับพยายามผูกขาดการตรวจสอบไว้ที่ตัวเอง ทั้งๆ ที่มีศักยภาพจำกัด จนประชาชนวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วลุ่มน้ำ

ในทางตรงกันข้ามกรณีที่มีนักวิชาการรายหนึ่งนำเสนอเรื่องการทำฝาย(เขื่อน)ดักตะกอนโดยอุปมาว่าดักสารโลหะหนักบนแม่น้ำกกได้ และยังไม่ได้เป็นนวัตกรรมที่มีงานวิจัยใดๆ รองรับ ไม่ผ่านการพิสูจน์ชัด และมีเสียงทักท้วงมากมายในสารพัดปัญหาที่จะตามมาต่อเนื่อง แต่รัฐบาลกลับหยิบยกมาเป็นวาระเร่งด่วน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) รีบเร่งบินสำรวจและกำหนดจุดสร้างฝายพร้อมกับการเสนอแผนงานระดับบิ๊กมูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท ที่เป็นการผนวกรวมระหว่างการทำฝายดักตะกอน ประตูและเขื่อนระบายน้ำ 13 แห่ง และแก้มลิง ไว้ด้วยกัน

ทั้งที่มีความล้มเหลวของการทำฝายดักตะกอนในลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี เป็นบทเรียน และนักวิชาการเฉพาะทางก็ออกมาฟันธงแล้วว่าฝายดักตะกอนไม่สามารถใช้ดักสารโลหะหนักได้ หวั่นว่าจะเป็นการผลาญงบประมาณมากกว่า แต่รัฐบาลก็ยังพยายามเดินหน้าต่อไป แทนที่จะแก้ปัญหา กลับกำลังสร้างปัญหาซ้อนปัญหาขึ้นมาอีก

ในขณะที่ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยหาหนทางปิดเหมืองแร่ ทั้งแรร์เอิร์ทและเหมืองทองคำ ที่บริเวณต้นแม่น้ำที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารว้าและการดำเนินงานของคนจีน กลับมีความคืบหน้าน้อยมาก ที่สำคัญคือไม่เคยมีท่าทีจากกองทัพซึ่งมีหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศ ที่ยอมให้ทหารว้าค่อยๆ ปล่อยสารพิษมาทำร้ายคนไทยนับล้านได้โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ

สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง นับวันจะยิ่งขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากทหารว้าและคนจีนยังคงเดินหน้าการขุดเจาะเหมืองและปล่อยสารโลหะหนักลงแม่น้ำต่อเนื่อง

ล่าสุดทหารว้ายังสั่งให้มีการสำรวจเพื่อขยายพื้นที่การทำเหมืองที่ต้นแม่น้ำกกออกไปอีก โดยชาวไทใหญ่ในฝั่งรัฐฉานที่ข้ามมาหาเครือญาติในฝั่งไทยได้บอกเล่าข้อมูลสู่กัน เพราะทุกวันนี้พวกเขาต่างก็อยู่กันอย่างลำบากเนื่องจากแม่น้ำกกที่ไหลผ่านหมู่บ้านในรัฐฉานก็ใช้การไม่ได้ แม้ทหารว้าก็รับรู้ความยากลำบากของคนท้ายน้ำ แต่พวกเขาไม่เคยใส่ใจเพราะมั่นใจว่าไม่มีใครทำอะไรได้

วันนี้การปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก ขยายกว้างออกไปยังแม่น้ำโขง กำลังถูกบันทึกให้เป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนมลพิษที่ใหญ่ระดับโลก นอกจากนี้กำลังจะกลายเป็นสนามที่ห้ำหั่นกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เพราะมีเรื่องของแรร์เอิร์ทเข้ามาเกี่ยวข้อง

ถ้ารัฐบาลยังเพียงแค่ทำท่าขยันแต่ไม่ฉลาด แทนที่จะแก้ปัญหากลับสร้างปัญหาซับซ้อนขึ้นมาอีก ความหวังที่แม่น้ำกกซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเชียงราย จะได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูก็คงยากขึ้นไปอีก

คำถามคือ แล้วคนเชียงรายและคนท่าตอน และประชาชนในลุ่มน้ำโขง จะดำรงชีวิตท่ามกลางมลพิษข้ามพรมแดนนี้กันอย่างไร ???

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat