ENVIRONMENT

สมรภูมิแม่น้ำโขงเดือด จีน-สหรัฐฯ แลกหมัดประเด็น “เขื่อน”

วันนี้ (31 มี.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าประเด็นการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงได้กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างจีนและสหรัฐฯเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยสหรัฐฯ ได้สนับสนุนทุนผ่านเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนและองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) บางองค์กรที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับแม่น้ำโขง ขณะที่ทางการจีนได้สนับสนุนทุนผ่านนักวิชาการและมหาวิทยาลัยในการทำงานวิจัยรูปแบบต่างๆนอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังวิพากษ์วิจารณ์กันทางสื่อสารมวลชนเป็นระยะๆ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา Global Times สื่อของทางการจีน ได้เผยแพร่ข้อเขียนที่ระบุว่าเป็นรายงานเจาะลึกของ Hu Yuwei และ Zhao Juecheng ในหัวข้อ “ใครคือกระบอกเสียงของสงครามความคิดเห็นสาธารณะที่นำโดยสหรัฐฯ เกี่ยวกับภัยคุกคามเขื่อนของจีนริมฝั่งแม่น้ำโขง”

บทความชิ้นนี้มีเนื้อหาบางตอนระบุว่า ประเด็นเรื่องน้ำในแม่น้ำโขงเชิงการเมืองของสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของจีนผ่านการเปิดฉากการต่อสู้ด้วยวาทศิลป์ได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ศูนย์สติมสัน ซึ่งเป็นคลังสมองที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ได้โจมตีจีนอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยรายงานเท็จและลำเอียงที่มุ่งเป้าไปที่เขื่อนจีนตามแม่น้ำโขงซึ่งจัดทำโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หน่วยงานด้านความคิด สื่อ และนักเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนการกระทำดังกล่าว สหรัฐฯพยายามเปลี่ยนลุ่มน้ำโขงให้เป็นสมรภูมิใหม่กับจีนที่คล้ายคลึงกับทะเลจีนใต้ โดยศูนย์สติมสันก่อตั้งขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในปี 1989 และสมาชิกจำนวนมากที่เป็นอดีตและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มหลักที่ผลักดันข้อกล่าวหาที่ว่าเขื่อนของจีนกำลังทำร้ายระบบนิเวศท้ายน้ำ

บทความชิ้นนี้ระบุว่าในปี 2019 นายไบรอัน อายเลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของStimson Center ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Last Days of the Mighty Mekong ซึ่งกล่าวถึงปัญหาท้ายน้ำต่างๆนาๆ การท่องเที่ยวที่ลดลง ตลอดจนความแห้งแล้งในลุ่มน้ำและการปนเปื้อนน้ำดื่มและเพิ่มของเสียในแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็น “อันตราย” ที่เกิดจากเขื่อนจีนต้นน้ำ การตีพิมพ์หนังสือหนา 384 หน้าเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีจีนอย่างเข้มข้นของศูนย์สติมสันต่อทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง

ในรายงานระบุว่าผู้เชี่ยวชาญจากจีนจากหน่วยงานระหว่างรัฐบาล Mekong River Commission (MRC) และ Australian-Mekong Partnership for Environmental Resources and Energy Systems (AMPERES) ชี้ว่ารายงานดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนตามข้อเท็จจริงกับการเลือกข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์และปัจจัยในรูปแบบที่น้อยเกินไป ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้อง

Global Times พบว่า “ห่วงโซ่การโจมตี” ที่เชื่อมโยงกับ Stimson Center และ Eyes on Earth ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อขาย “ภัยคุกคามเขื่อนของจีน” เหนือความเข้าใจผิดของแม่น้ำโขง โดยกลุ่มเครือข่ายส่วนใหญ่ประกอบด้วยสถาบันต่างๆ เช่น Human Rights Watch สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา และมูลนิธิเอเชีย สื่อต่างๆ เช่น New York Times และ BBC รวมถึง บางคนเรียกตัวเองว่าเป็น “นักวิชาการสืบสวนอิสระ”

รายงานของสื่อจีนระบุว่า เคล็ดลับทั่วไปอีกประการหนึ่งที่ใช้ในห่วงโซ่นี้คือการเพิ่มปัญหาทรัพยากรน้ำในระบบนิเวศให้กลายเป็นวิกฤตทางสังคมหรือด้านมนุษยธรรม เช่น ความแห้งแล้งที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดจากเขื่อน ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อความมั่นคงด้านอาหาร หรือแม้แต่ทำให้เกิดการว่างงานในชุมชนประมง กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกต่อต้านจีนในหมู่ชาวบ้าน . พวกเขาสามารถยกระดับปัญหาสังคมไปสู่ปัญหาการเมืองได้ โดยบังคับให้เจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆ ที่ได้ร่วมมือกับจีนในโครงการเขื่อน ปรับเปลี่ยนนโยบายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อจีนเพื่อประโยชน์ในเสถียรภาพทางการเมือง

หลังจากที่ศูนย์สติมสันได้เผยแพร่รายงานที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับแม่น้ำโขงแล้ว ประชาชนบางส่วนในหลายประเทศรวมทั้งไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียได้จัดตั้งองค์กรออนไลน์ “Milk Tea Alliance” ซึ่งอ้างว่าเขื่อนที่จีนสร้างขึ้นบนแม่น้ำโขงตอนบน ทำให้เกิดภัยแล้งใน 5 ประเทศปลายน้ำ ได้แก่ ไทย ลาว เมียนมาร์กัมพูชา และเวียดนาม โดยเรียกร้องให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นพูดเกี่ยวกับสิทธิการใช้น้ำริมแม่น้ำและหยุด “การกลั่นแกล้ง” ของจีน ตามรายงานของสื่อ

Global Times ระบุว่าทราบจากแหล่งข่าวว่าในเดือนกันยายน 2020 สถานทูตสหรัฐฯ และสถานกงสุลในประเทศไทยกำลังทำงานร่วมกับองค์กรท้องถิ่นที่มีแนวโน้มจะขยายเสียงคัดค้านจีน ในการดำเนินโครงการ “วิจัยไทยบ้าน” ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านเก็บรวบรวมข้อมูลทรัพยากรระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขงของประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ และกองกำลังต่อต้านจีนที่เกี่ยวข้องเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวสามารถสนับสนุนแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านจีน

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ศูนย์สติมสันยังร่วมกันเปิดตัวสมาคมข้อมูลวารสารศาสตร์ลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อให้ทุนและฝึกอบรมนักข่าวในประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างในการเขียนรายงานสืบสวนเกี่ยวกับข่าวเกี่ยวกับน้ำในแม่น้ำโขง เช่น ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการสร้างเขื่อน

ผู้เชี่ยวชาญบอกกับ Global Times ว่า คงไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่จะระบุถึงการเปลี่ยนแปลงของการไหลของแม่น้ำกับการสร้างเขื่อนต้นน้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของการไหลของแม่น้ำเป็นผลมาจากหลายปัจจัย และสภาพอากาศเป็นปัจจัยพื้นฐานและสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่น่าสังเกตว่ากระแสน้ำในลุ่มน้ำของจีนมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 13.5 ของการไหลบ่าของแม่น้ำโขงทั้งหมด โดยส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำโขง

“การวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองจากนอกภูมิภาคเป็นการดูหมิ่นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการยั่วยุโดยเจตนาเพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประเทศริมฝั่งแม่น้ำ” ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงานชิ้นนี้

รายงานของ Global Times ระบุด้วยว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ยกระดับวาทกรรมด้านการทูตน้ำในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงจากปัญหาทางนิเวศวิทยาล้วนๆ ไปเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีอิทธิพลต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และได้เล่นสงครามความคิดเห็นของประชาชนเป็นการรณรงค์ที่ซับซ้อน ด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก150 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ อ้างว่าได้เปิดตัวหุ้นส่วนระหว่างแม่น้ำโขงกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วิสัยทัศน์อินโด-แปซิฟิก” ซึ่งผู้สังเกตการณ์เชื่อว่าแสดงให้เห็นถึงการเร่งรีบในการจัดการปัญหาน้ำในภูมิภาคเพื่อควบคุม อิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่สหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแม่น้ำโขงให้เป็น “สนามรบใหม่สำหรับการเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ไม่ได้ให้บริการเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของ 6 ประเทศตามแนวแม่น้ำโขง และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำโดยพื้นฐาน

ด้านนายไบรอัน อายเลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ได้ชี้แจงข้อวิพากษ์ของสื่อจีนผ่านการสื่อสารออนไลน์ว่า หลายปีที่ผ่านมาองค์กรภาคประชาสังคมได้พยายามเรียกร้องให้มีการปกป้องแม่นน้ำโขงและชุมชนตลอดลำน้ำ อย่างมีส่วนร่วมและโปร่งใสซึ่งสถาบันสติมสันได้ใช้วิธีการเพื่อสร้างความโปร่งใสและเสริมพลังให้แก่ชุมชนท้ายน้ำและผู้มีอำนาจตัดสินใจให้เจ้าของเขื่อนมีความรับผิดชอบ

“ใครๆ ก็สามารถใช้ Mekong Dam Monitor เพื่อให้เห็นข้อมูลได้ด้วยตนเอง และตัดสินด้วยตนเอง หากเจ้าหน้าที่รัฐจีนต้องการให้ข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะ ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี” ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำ Stimson Center กล่าว

Related Posts

Send this to a friend