BUSINESS

3 บิ๊กอสังหาฯ ชี้ 3 เทรนด์มาแรงในอนาคต เวลเนส เรสซิเดนท์-อาคารประหยัดพลังงาน-คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์

prop2morrow จำกัด บริษัทที่ปรึกษาการตลาดธุรกิจกิจอสังหาริมทรัพย์ และสื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ บริการดูแลการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์แบบครบวงจร จัดงานเสวนากรุงเทพจตุรทิศ “จัด 9 ทัพ รับศึก 10 ทิศสู้วิกฤติอสังหาฯ” เมื่อ 21 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ณ สยามสแควร์วัน โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ เพื่อแนะดีเวลอปเปอร์จับโอกาสตลาด “คนสูงวัย” และ “คนรักสัตว์” ที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อเร่งหาจุดเด่นเพื่อตอบโจทย์ ความหลากหลายของผู้บริโภค

ภายในงานมี 3 กูรูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่าง “แมกโนเลีย-ออริจิ้น-คอรัล ไลฟ์” มาร่วมวิเคราะห์ 3 เทรนด์สำคัญที่น่าจับตามอง ในปัจจุบันและอนาคต พร้อมกันนี้ชี้ 3 เทรนด์มาแรงเพื่อรับสังคมสูงวัย และคนรักสัตว์ ได้แก่ “เวลเนส เรสซิเดนท์-อาคารประหยัดพลังงาน-คอนโดฯเลี้ยงสัตว์”

ดร.วิทยา สินทราพรรณทร ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เวลเนส เรียลเอสเตท (Wellness Residence) เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต จากปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนประชากรสูงวัยในสังคมเพิ่มสูงขึ้นใกล้แตะ 70 ล้านคน และผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคใหม่มุ่งตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดในเซ็กเมนต์นี้เติบโตมาก และไม่ได้จำกัดอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ขยายไปในหลายพื้นที่รอบนอก โดยเฉพาะโรงพยาบาลหลายแห่ง หันมาพัฒนาโครงการ Wellness Residence กันมากขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งบ้านวัยเกษียณที่เปิดรองรับกลุ่มสูงวัย อายุ 40-60 ปีขึ้นไป” ดร.วิทยากล่าว

โดยความน่าสนใจของตลาดเซ็กเมนต์นี้ ยังอยู่ที่มูลค่าตลาด โดยรายงานของ Global Wellness Real Estate Market คาดการณ์ถึงมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพทั่วโลก จะเติบโตสูงถึง 575.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2565-2570 ขณะที่ปี 2560 ที่ผ่านมาตลาดมีมูลค่าแค่ 136.23 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

ทั้งนี้แนวทางที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สามารถพัฒนาโครงการ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคนสูงวัย ได้แก่ บ้านที่ตั้งอยู่ในทำเลขอบเมือง เช่น เขาใหญ่ หัวหิน จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ปลูกต้นไม้จำนนมาก เพื่ออากาศที่บริสุทธ์ส่งผลต่อสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของสังคมแวดล้อมในโครงการ หรือคอมมูนิตี้ (Community) ต้องมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดแข่งขันกีฬา เล่นเกม เพ้นท์รูป และสนับสนุนการทำงานของอวัยวะที่มีโอกาสเสื่อมสภาพลง เช่น โรคอัลไซเมอร์

“ที่ผ่านมามีโครงการคอนโดมิเนียม ที่หันมาทำในเรื่องของการ วางระบบโฮมออโตเมชั่น การออกแบบแสงไฟภายในห้อง ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิต การเลือกวัสดุจากธรรมชาติ (Green Material) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้รวมเป็นเวลเนสทั้งสิ้น และเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำมาใช้สร้างจุดเด่นให้กับโครงการ” ดร.วิทยากล่าว

ในส่วนของ โครงการ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่บริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ไลฟ์ไทม์ โฮม หรือบ้านที่อยู่ได้ตลอดชีวิต โดยศึกษาถึงความต้องการ ของกลุ่มคนสูงวัยที่กังวลเรื่องการเงิน โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ชราใครจะมาดูแล นำมาสู่การพัฒนาบ้านด้วยยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ ที่สวยงามและปลอดภัย ต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในวัยนี้ พร้อมร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ Baycrest จากแคนาดาที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านการดูแลผู้สูงวัยเข้ามาให้บริการ รวมถึงโซลูชั่นบริการต่างๆ เช่น บริการอาหารเช้า,ประกันสุขภาพ 40 ล้านบาทต่อปี,การเปิดให้บริการคลินิก 9 แห่งภายในโครงการสำหรับผู้สูงอายุ เช่น ด้านอายุรกรรม,ทางเดินปัสสาวะ,หูตาคอจมูก ศูนย์ฟื้นฟู,นอกจากนี้ยังมีลู่วิ่ง และพื้นที่ป่าที่มากถึง 30 ไร่ เป็นต้น

ด้านนายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ และกรรมการบริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเพ็ท คอนโดมิเนียม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวมากถึง 35 – 40 โครงการ ประมาณ 8,000 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นโครงการจากออริจิ้นมากถึง 16 โครงการ ประมาณ 3,800 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของตลาดในเซ็กเมนต์นี้ และในปีหน้าเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ เพิ่มอีก 8-9 โครงการ ประมาณ 1,600 ยูนิต

โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ ได้จะเติบโตได้อีกมาก หลังจากมูลค่าตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยง มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านบาทในปี 2562 ขยายตัวเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์ว่า จะเพิ่มเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2566 นี้

โดยเฉพาะการเลี้ยงสุนัขและแมว ของครอบครัวคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทยช่วงปี 2562-2565 มีอัตราการเติบโตของจำนวนสุนัข และแมวที่มีเจ้าของอยู่ที่ 24% แบ่งเป็นแมวมีอัตราการเติบโตกว่า 38% และสุนัขเติบโต 18% ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าว มาจากพฤติกรรมของคนรึ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยมีกลุ่มคนที่เรียกว่า Sinks (Single Income No Kid) หรือคนที่ใช้ชีวิตโสด มีความเหงา ต้องการมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน Dinks (Double Income No Kid) คนที่แต่งงานแล้วมีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปแบบครอบครัว ที่มีขนาดเล็กลง และมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นหนึ่ งในสมาชิกของครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เหมือนเป็นลูก รองลงมาเป็นการเลี้ยงสัตว์ เพื่อแสดงสถานะทางสังคม และกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือดูแล

“คนรุ่นใหม่มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นมนุษย์มากขึ้น หรือ Pet Humanization และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้เท่านั้นที่เป็นกระแส แต่ยังรวมถึงโอกาสของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงคาเฟ่น้องหมา น้องแมว ที่เกิดจากความต้องการ ของคนที่ใช้ชีวิตเหงาและโดดเดี่ยวในเมือง แต่ไม่พร้อมเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือคนอยู่คอนโดฯ ที่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงได้” นายสมสกุลกล่าว

ดังนั้นแนวทางการพัฒนาคอนโดฯ ที่เลี้ยงสัตว์ได้ ผู้ประกอบการต้องศึกษา และทำความเข้าใจเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว โดยคำนึงถึง Pet wellness โครงสร้างและกายภาพ ทำอย่างไรให้ดำเนินชีวิตได้อย่างแข็งแรง ด้านอารมณ์และจิตใจ สีที่นำมาใช้ในการออกแบบโครงการ สภาพแวดล้อม โภชนาการและเคมีภัณฑ์ เช่น การมีเครื่องฟอกอากาศ ราวระเบียงกันตก ปลั๊กที่ต้องเพิ่มจำนวน เพื่อความสะดวกในการใช้งาน อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ สุขภัณฑ์ ขณะที่พื้นห้องควรทำความสะอาดได้ง่าย

โดยกลุ่มออริจิ้นฯ มีบริษัทในเครือ คือ พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ที่ให้บริการอสังหาริฯสมัยใหม่ แบบครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีการดูแลน้องหมาน้องแมว มาเช็คอินจะต้องมีพาสปอร์ต ทำให้ทราบถึงน้ำหนัก ประวัติการฉีดวัคซีน ทำให้ฝ่ายบริการสามารถบันทึก และแจ้งเตือนให้เข้ารับบริการได้ และอาคารอนุรักษ์พลังงาน เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ธุรกิจ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้บริโภค

ด้าน นายเทพฤทธิ์ ทิพย์ชัชวาลวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า อาคารประหยัดพลังงาน มีความสำคัญที่ส่งผลต่อคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกต้องเผชิญ กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีส่วน ในการปล่อยคาร์บอนสูงถึง 40% จากการก่อสร้าง และการใช้อาคาร โดยระบบควบคุมอาคารทำงานด้วย Digital twin คือ ข้อมูลทางกายภาพของอาคาร ที่ใส่ข้อมูลทั้งหมดไปไว้ในโลกดิจิทัล ทั้งค่าฝุ่น PM2.5 การใช้งานลิฟต์โดยสาย ระบบคุมไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ การป้องกันอัคคีภัย และทุกอย่างในอาคาร จะแสดงไว้บนแดชบอร์ด (Dashboard) ทำให้บริหารจัดการพลังงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง อาคารทั่วไปมีความต้องการใช้พลังงาน 100% ขณะที่อาคารประหยัดพลังงาน ที่บริษัทฯ ออกแบบ สามารถลดความต้องการ ในการใช้พลังงานลง โดยใช้เพียง 30% เท่านั้น หากลงรายละเอียดจะพบว่า อาคารทั่วไปใช้ 800-1,200 บีทียู/ตารางเมตร ส่วนอาคารที่บริษัทออกแบบใช้เพียง 100-250 บีทียู/ตารางเมตร ประหยัดพลังงานได้ถึง 70% โดยอาคารสำนักงาน 5 ชั้นของบริษัท Coral สุขุมวิท 39 มีพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ออกแบบให้ใช้งาน 500,000 BTU ทำให้มีค่าไฟฟ้าเพียง 88,000 บาทต่อเดือน สามารถประหยัดพลังงาน ได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับอาคารทั่วไปที่ใช้ 3,000,000 BTU และมีค่าไฟฟ้าสูงถึง 500,000 บาทต่อเดือน ส่วนของบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร ปกติใช้งานอยู่ที่ 100,000 BTU จากการออกแบบระบบ ทำให้สามารถลดการใช้งานลงเหลือเพียง 10,000 BTU เท่านั้น ทั้งที่ยังเปิดแอร์ตลอดวัน และมียอดการใช้ไฟฟ้าเพียง 2,000 บาทต่อเดือน

สำหรับผลงานที่ผ่านมา คอรัล ไลฟ์ เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียว ที่ได้รับมาตรฐานอาคารเขียว ประหยัดพลังงานอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีทั้งการออกแบบอาคารบ้านพักอาศัย Passive House หลังแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง The House of Cornell Tech, Roosevelt Island, New York ที่ได้รับเป็น Passive House Residential Building ของโลก

Related Posts

Send this to a friend