BUSINESS

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะผู้ประกอบการไทยเร่งหาทางรับมือ หลัง EU เพิ่มมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

กรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) จะเริ่มใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งการเก็บภาษีคาร์บอนกับธุรกิจในประเทศ และการลดการใช้งานพลาสติก รวมถึงการตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ในปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุป 3 มาตรการที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมรับมือ ประกอบด้วย

1. สินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนสูง ที่จะถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับแรกๆ ต้องเตรียมรับมือกับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ที่อียูจะเริ่มนำมาใช้กับสินค้านำร่อง ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็ก และอะลูมิเนียม รวม 5 รายการ

2. สินค้าพลาสติกและวัตถุดิบในการผลิตพลาสติก ที่จะเริ่มถูกจำกัดการใช้งาน โดยเริ่มจากบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนใช้วัสดุอื่นทดแทน และเตรียมรับมือกับกระแสการลดใช้พลาสติกในอนาคต

3. การเก็บภาษีคาร์บอนในหมวดสินค้าอาหารที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงกัน เนื่องจากเกี่ยวพันกับผู้บริโภคและผู้ผลิตในวงกว้าง ทำให้ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกอาหารทั้งวัตถุดิบและอาหารแปรรูป จำเป็นต้องเตรียมพร้อมด้านห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกช่องทาง รวมถึงเตรียมการตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระบบการผลิต ติดฉลากคาร์บอนให้แก่สินค้าที่จะส่งออก และติดตามความเคลื่อนไหวของมาตรการต่างๆ อย่างใกล้ชิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในระยะ 1-2 ปีนี้ การใช้มาตรการ CBAM กับการลดใช้พลาสติกของ EU และสหรัฐฯ จะส่งผลต่อการส่งออกไทยเพียง 0.9% ของการส่งออกไทยไปตลาดโลกเท่านั้น แต่ถ้าหากชาติต่างๆ ใช้มาตรการแบบเดียวกัน จะยิ่งทำให้สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยในระยะต่อไป หากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขตไปยังสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะอาหาร สินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม ก็จะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเริ่มปรับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่ โดยต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อให้สินค้าไทยตอบโจทย์ความต้องการตามกระแส ESG

Related Posts

Send this to a friend