BUSINESS

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยชี้ควรวางระบบให้เป็นสากล

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเผยแพร่บทความ ข้อเท็จจริง “ข้าวโพดอาหารสัตว์” ที่ทุกคนควรรู้ย้ำการอุดหนุนโดยรัฐเป็นนโยบายสากลที่ทุกประเทศทั่วโลกยึดปฎิบัติ เพื่อให้ผู้ประกอบการคงขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ และส่งผลกลับมาเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ระบุว่าสนับสนุนโครงการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อเกษตรกร เพราะเป็นการแก้ตรงจุด หากแต่เมื่อพบปัญหาเกิดที่ส่วนใด ก็ควรแก้ที่ส่วนนั้น และปล่อยให้จุดอื่นทำหน้าที่ของตัวเองตามกลไกตลาด ไม่ควรให้ปัญหาเพียงจุดเดียวกระทบห่วงโซ่ทั้งระบบ

ข้อมูลจากสำนักเศรษฐกิจการเกษตร แสดงให้เห็นว่า ต้นทุนการปลูกข้าวโพดของไทยสูงกว่า 6 บาท/กก.มาโดยตลอด รัฐบาลจึงมีโครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เริ่มในปี 2562/2563 เป็นปีแรก โดยกำหนดราคารับประกันไว้ที่ 8.50 บาท/กก. และยังคงมาตรการเดิมที่เคยใช้อยู่ไว้ทั้งหมด รวมถึง การขอให้โรงงานอาหารสัตว์ช่วยซื้อข้าวโพดในราคาไม่ต่ำกว่า 8 บาท/กก. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงเป็นพืชเดียวที่มีการประกันถึงสองชั้น และด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงใช้จ่ายชดเชยเงินประกันรายได้สำหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์น้อยที่สุดในบรรดาพืชเศรษฐกิจหลักทั้ง 5 ตัวที่มีการประกันรายได้ โดยในปี 2562 ใช้งบประมาณไปเพียง 1,000 ล้านบาทเศษเท่านั้น เพราะได้ผลักภาระดังกล่าวมาไว้ที่ผู้ผลิตอาหารสัตว์แทน

ตลอดระยะเวลาโครงการประกันรายได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเคยมีเสียงเรียกร้องใดๆ จากเกษตรกร แต่กลับมีเสียงเรียกร้องจาก “พ่อค้าคนกลาง” ว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงมีราคาตกต่ำ และกล่าวหาว่าโครงการประกันรายได้เอื้อประโยชน์ให้แก่โรงงานอาหารสัตว์ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วการชดเชยส่วนต่างตามราคารับประกันนั้น ถูกพิจารณาจากราคาที่พ่อค้าคนกลางในพื้นที่ซื้อกับเกษตรกร ซึ่งไม่ได้มีกลไกควบคุมราคารับซื้อในส่วนนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าโครงการประกันรายได้ช่วยให้ “พ่อค้าคนกลาง” ซื้อข้าวโพดได้ในราคาที่ต่ำลงเพราะเกษตรกรสามารถไปรับเงินชดเชยจากภาครัฐได้ และอีกข้อที่ควรระวังคือ ข้าวโพดชายแดนที่นำเข้ามาโดยพ่อค้าคนกลางก็พลอยได้รับอานิสงส์จากนโยบายรัฐในเรื่องประกันราคา 2 ชั้นไปด้วย เพราะส่วนใหญ่ไม่มีระบบตรวจสอบพ่อค้าว่านำข้าวโพดมาจากแหล่งใด

ในช่วง 3 ปีหลังมานี้ ธุรกิจอาหารสัตว์มีการเติบโตแบบถดถอย จนกระทั่งประเทศไทยถูกเวียดนามแซงหน้าในการผลิตอาหารสัตว์ไปแล้ว เวียดนามเป็นประเทศที่ขาดแคลนวัตถุดิบการผลิตอาหารสัตว์ แต่มีนโยบายส่งเสริมให้มีการนำเข้าวัตถุดิบได้อย่างเสรี แต่ละปีมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 10 ล้านตัน ในราคาที่ต่ำกว่าของไทย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ต่ำกว่าบ้านเรา ดึงดูดให้มีการลงทุนในประเทศเขามากขึ้น อุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มขยายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เวียดนามยังอนุญาตให้มีการปลูกพืชตัดแต่งพันธุกรรม(GMO)ได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่หลายประเทศทั่วโลกให้การยอมรับและช่วยให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้น ขณะที่ไทยเองยังไม่อนุญาตให้ปลูกในประเทศ แต่อนุญาตนำเข้าได้เนื่องจากมีมาตรฐานรองรับในระดับสากลแล้ว

หากประเทศไทยยังติดกับดักทางความคิดเดิม ติดกับเงื่อนไขที่สร้างขึ้นเพื่อกีดกันการนำเข้า เพราะต้องการปกป้องเกษตรกร (ที่อาจกลายเป็นปกป้องพ่อค้าคนกลาง) โดยไม่คิดจะปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ ประเทศไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และปศุสัตว์รวมถึงตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ไปไม่ช้าก็เร็ว

นอกจากนี้ การเร่งพัฒนาสินค้าให้ตอบกระแสตลาดโลกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และควรเร่งพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่าง EU ได้กำหนดนโยบายที่มุ่งเน้นไปในประเด็นการผลิตสินค้าที่มีความยั่งยืนเรียกว่า European Green Deal ยกตัวอย่าง กรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยที่กว่าครึ่งเพาะปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมและผิดกฏหมาย หากไม่เร่งดำเนินการพัฒนาและแก้ไข ก็ไม่อาจจะส่งออกเนื้อไก่ ไปยัง EU ได้ต่อไป

ยืนยันว่า ประเด็นความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวมากว่า 7 ปีแล้ว โดยมีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้บริบทการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจตลอดห่วงโซ่ หากวันนี้จะร่วมกันลงมือจริงจัง ประเทศไทยสามารถเริ่มต้น ณ ก้าวที่ 2 ที่ 3 ได้เลย แต่หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่เห็นความสำคัญและไม่ร่วมมือในการส่งเสริมกิจกรรมเหล่านี้ หรือ มีข้อต่อใดข้อต่อหนึ่งของห่วงโซ่ละเลย ก็คงยากที่จะประสบผลสำเร็จ

Related Posts

Send this to a friend