HUMANITY

ผลสำรวจ MICS ชี้ไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่ม แต่แนวโน้มด้านการศึกษาและพัฒนาการเด็กยังน่าห่วง

สำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การยูนิเซฟ จัดทำผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (MICS) ล่าสุด แสดงให้เห็นความก้าวหน้าด้านเด็กและสตรีหลายด้าน เช่น อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนที่เพิ่มขึ้น อัตราการคลอดในวัยรุ่นและการลงโทษเด็กด้วยวิธีรุนแรงที่บ้านลดลง แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีแนวโน้มที่น่ากังวลในแต่ละด้าน ประกอบด้วย ด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย การศึกษา ภาวะโภชนาการของเด็ก และการแต่งงานก่อนวัยอันควร

การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (Multiple Indicators Cluster Survey) เป็นการสำรวจระดับประเทศที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างประชากรเด็กและสตรี โดยจัดทำขึ้นทุก 3 ปี มีการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับเด็กและสตรีในด้านต่าง ๆ กว่า 130 ตัวชี้วัด เช่น สุขภาพ พัฒนาการ การศึกษา และการคุ้มครองเด็ก ซึ่งครั้งล่าสุดเก็บข้อมูลจาก 34,000 ครัวเรือนทั่วประเทศระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2565

ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2565 เป็นการจัดทำครั้งที่ 5 ของประเทศไทย สะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่ของเด็กและสตรีในมิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ในการออกแบบนโยบายหรือมาตรการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและสตรีในประเทศไทย

ผลสำรวจพบว่า อัตราการคลอดในวัยรุ่นลดลงจาก 23 คนต่อ 1,000 คนในปี 2562 เหลือ 18 คนต่อ 1,000 คนในปี 2565 ขณะที่อัตราของเด็กอายุ 1-14 ปี ที่เคยถูกลงโทษด้วยวิธีรุนแรงที่บ้าน ลดลงจากร้อยละ 58 เหลือร้อยละ 54 นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่า ผู้ชายและผู้หญิงที่มีทัศนคติไม่ยอมรับความรุนแรงในครอบครัวมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยนั้น ปี 2565 มีทารกอายุไม่เกิน 6 เดือนร้อยละ 29 ได้กินนมแม่ล้วนในช่วง 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้นจากที่ร้อยละ 14 ในปี 2562 นอกจากนี้ยังพบว่ามีแม่จำนวนมากขึ้นที่ให้นมลูกอย่างต่อเนื่องจนถึง 1 ปี และ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่น่ากังวลด้านการศึกษาและพัฒนาการของเด็กเมื่อเทียบกับผลสำรวจครั้งก่อน พบว่าอัตราการเข้าปฐมวัยของเด็กอายุ 3-4 ปีลดลงจากร้อยละ 86 ในปี 2562 เหลือเพียงร้อยละ 75 ในปี 2565 นอกจากนี้ อัตราการเข้าเรียนสุทธิของเด็กอายุ 5 ปี (เมื่อเริ่มปีการศึกษา) ลดลงจากร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 88 และอัตราของเด็กปฐมวัยที่มีความพร้อมในการเข้าโรงเรียนลดลงจากร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 94 ขณะเดียวกันอัตราของเด็กวัยประถมศึกษาที่ไม่ได้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4 นอกจากนี้ อัตราการไม่ได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 ส่วนอัตราการไม่ได้เข้าเรียนยังคงสูงสุดในกลุ่มเด็กวัยชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 15 ในปี 2565

ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลด้านการใช้เวลาของเด็กในการเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 62 ของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กถึงร้อยละ 13 เล่นเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวันหรือนานกว่า เมื่อเทียบกับร้อยละ 8 ในปี 2562 ขณะที่มีเด็กจำนวนน้อยลงที่ใช้เวลาอ่านหนังสือที่บ้าน และมีเด็ก 6 ใน 10 คนที่มีหนังสือสำหรับเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่ม ทั้งนี้มีพ่อแม่จำนวนน้อยลงที่ทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ทักษะพื้นฐานด้านการอ่านและการคิดเลขของเด็กมีแนวโน้มแย่ลงโดยปี 2565 มีเด็กในวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ร้อยละ 45 เท่านั้นที่มีทักษะด้านการอ่านขั้นพื้นฐาน ลดลงจากร้อยละ 52 ในปี 2562 และมีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่มีทักษะพื้นฐานด้านการคำนวณ เมื่อเทียบกับร้อยละ 47 ในปี 2562

คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดยังคงส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา โดยที่เด็กจำนวนมากต้องเลิกเรียนกลางคัน ดังนั้น ประเทศไทยต้องลงทุนกับการศึกษา ระบบสาธารณสุข และระบบคุ้มครองทางสังคมที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับผลสำรวจด้านอื่น ๆ ที่สำคัญในปี 2565 ประกอบไปด้วย

1.ภาวะโภชนาการของเด็กที่น่าเป็นห่วง โดยผลสำรวจพบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 11

2.การสมรสก่อนวัยอันควร ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลของไทย โดยในปี 2565 ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 20-24 ปี ร้อยละ 17 สมรสก่อนอายุ 18 ปี และเกือบร้อยละ 6 สมรสก่อนอายุ 15 ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 ในปี 2562

3.มีเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่ย้ายถิ่นเพื่อหางานทำ โดยผลสำรวจ พบว่าเด็กอายุไม่เกิน 17 ปี ร้อยละ 25 หรือประมาณ 3 ล้านคนไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ และโดยส่วนใหญ่ ร้อยละ 71 อาศัยอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย

4.ความเหลื่อมล้ำ ยังเป็นปัญหาสำคัญ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เด็กอาศัยอยู่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ระดับการศึกษาของแม่ และชาติพันธุ์

Related Posts

Send this to a friend