POLITICS

สมช. เคาะ 3 มาตรการ รับมือโดรนปริศนา

หลังพบบินในพื้นที่ตอนใน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดทางให้ AOT ขอกองทัพ ใช้ ‘แอนตี้โดรน’ ด้าน ผบ.ตร. เผย อยู่ระหว่างสอบโดรนดังกล่าว ไม่ยืนยัน มีถึง 40 ลำตามข่าวหรือไม่ เตือน กลุ่มคิดป่วน มีโทษหนักสูงสุดถึงขั้นประหาร-จำคุกตลอดชีวิต

วันนี้ (22 ธ.ค. 68) นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถึงกรณีพบอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน บริเวณพื้นที่ตอนใน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยนายฉัตรชัย เปิดเผยว่า วันนี้มีการพิจารณาเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณีพบโดรนที่เข้ามาในพื้นที่จุดสำคัญ ต่างๆ ทั้ง พื้นที่สนามบิน และจังหวัดชายแดน ซึ่งที่ประชุมมีมติที่สำคัญ 2 ส่วน คือ มาตรการระยะเร่งด่วน และมาตรการระยะยาว

นายฉัตรชัย ระบุต่อว่า ภายหลังมีการถูกพิสูจน์พบโดรนจำนวนหนึ่งเข้ามาในพื้นที่สำนักงานการบินพลเรือน จึงได้ออกประกาศกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่จังหวัดชายแดน และสนามบินสำคัญทั่วประเทศ

สำหรับมาตรการเร่งด่วน

1.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งท่าอากาศยานการบินพลเรือน, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สนับสนุนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการจัดการกับโดรนเป้าหมายที่เข้ามาในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงมีการกำหนดมาตรการในการป้องกันสืบสวนสอบสวน และแอนตี้โดรนต่างๆ เพื่อประสานงานอย่างใกล้ชิดและให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2.ให้กระทรวงกลาโหมผ่อนคลายมาตรการในการอนุญาตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งท่าอากาศยานและหน่วยอื่นๆ สามารถจัดหาแอนตี้โดรนได้ เนื่องจากเป็นยุทธภัณฑ์จึงต้องขออนุญาตกองทัพ เพื่อเตรียมการให้มีไว้ป้องกันพื้นที่

3.ให้มีการเข้มงวดในการนำเข้า และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าโดรน ในพื้นที่ชั้นใน และพื้นที่อื่นๆ อย่างเข้มงวด

4.ประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าการบินโดรนเข้ามาในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะพื้นที่ความมั่นคงมีโทษร้ายแรงโดยเฉพาะสนามบิน ที่มีโทษสูงสุดคือการประหารชีวิต จึงอยากสื่อสารให้ทุกฝ่ายเข้าใจ และหากมีการใช้โดรน และพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงก็ถือว่ามีมีความผิดตามกฎหมายอาญาด้วย

ส่วนมาตรการระยะยาว ที่ก่อนหน้านี้มติสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคยมีมติให้กองทัพอากาศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานเอกภาพโดยการดำเนินการ จัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา คือ

1. ศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ

2.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัยในอนาคตรวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการใช้เครื่องมือดังกล่าวซึ่งเป็นทักษะขั้นสูง

3.เห็นชอบทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเรื่องของการเพิ่มโทษในกรณีที่มีการใช้โดรนที่กระทบต่อความมั่นคง ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า การปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เรื่องโดรนเป็นการปฏิบัติร่วมภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ (ทอ.) ตั้งแต่ที่มีมติ สมช.เมื่อกลางปีที่ผ่านมา

ดังนั้น การปฏิบัติดังกล่าว จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นวงใน วงกลาง และวงนอก ซึ่งวงในเรียกว่าไข่แดง เป็น ทอ. และท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ดูแล ส่วนวงกลางเรียกว่าไข่ขาว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแล และวงนอก กองทัพบก (ทบ.) เป็นผู้ดูแล

ทั้งนี้ ตร.ได้กำหนดมาตรการ และแผนปฏิบัติหรือยุทธศาสตร์เรื่องการป้องกัน ปราบปราม สืบสวนสอบสวน และการยกระดับความมั่นคงที่เกี่ยวกับระยะสั้น และระยะยาวไว้เป็นที่เรียบร้อย การดำเนินการและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เรามีรูปแบบทั้งของนครบาล และนครราชสีมา ที่ดูแลสนามบินมาเป็นต้นแบบ ซึ่งได้ออกแบบแผนเผชิญเหตุไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับวงนอกพื้นที่เป็นหน้าที่ ทบ. ซึ่งมีผลปฏิบัติอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมา

ส่วนการบูรณาการ และการแนะนำ เรามีการปฏิบัติอยู่แล้ว โดยเห็นว่าการใช้ความร่วมมือของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กสทช. ทอท. ตร. และกองทัพ ถือเป็นเรื่องสำคัญด้านการข่าวที่เราต้องนำมาประเมินและวิเคราะห์วางแผนปฏิบัติให้เป็นระบบ และเกิดความสำเร็จต่อไป ส่วนด้านกฎหมาย ความผิดที่เกิดขึ้นผู้ที่มีการใช้โดรนในพื้นที่ห้ามบินหรือสนามบินเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2558 ซึ่งมีโทษประหารชีวิต แต่หากสอบสวนแล้วพบว่า ผิดต่อความมั่นคงจะผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา ในเรื่องความมั่นคงหมวด 2 และ 3 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต

“สิ่งเหล่านี้จึงอยากบอกกับผู้ที่มีความคิดอาจจะป่วน ทำเรื่องกระทำผิดให้รู้โทษ ซึ่งตำรวจได้มีการกำหนดเป้าหมายที่จะทดสอบมาตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.เป็นต้นมา มีการตั้งจุดตรวจให้รู้ว่าเราจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อความไม่สงบของประชาชนอย่างเด็ดขาด ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับแจ้งมาตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. อยู่ระหว่างการดำเนินการด้วยการใช้ขีดความสามารถที่เรามีในการดำเนินการอยู่ในเวลานี้” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงโดรนที่ปรากฏที่สุวรรณภูมิ ต้นตอมาจากไหน พล.ต.อ.กิตติรัฐ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวน

ส่วนโดรนที่บอกว่า 40 ลำเป็นไปตามรายงานจริงหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นข้อมูลข่าวสารที่แจ้งเข้ามา ซึ่งการแจ้งอยู่ในแผนเผชิญเหตุ นับจากเวลาที่แจ้งได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปสุวรรณภูมิบ้างแล้ว ซึ่งอยู่พื้นที่โดยรอบของสุวรรณภูมิ เข้าไปร่วมปฏิบัติการกับผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรรมการผู้จัดใหญ่ได้มีการรับข้อมูล นับจากเวลารับข้อมูลจนถึงการปฏิบัติการเรายังไม่พบ เราได้รับข้อมูลเท่านั้น เป็นการรับข้อมูลมาเพื่อพิสูจน์ทราบและตรวจสอบ โดยกระบวนการและเครื่องมือที่เรามีอยู่ตามขีดความสามารถ

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะหาที่มาของโดรนได้ยากหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ขณะนี้ตั้งสมมุติฐานก่อนว่าเราได้รับแจ้งจำนวนกี่ลำ อยากใช้คำว่าเรารับแจ้ง แล้วเรื่องการป่วนหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงต้องใช้วิชาการสอบสวน เพราะบริเวณในท่าอากาศสุวรรณภูมิยังไม่มีกล้องหรือระบบที่เราสืบสวนและสอบสวนได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีสืบสวนของเรา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ตั้งโจทย์ และธงไว้ว่าถ้าเป็นจริงจะต้องหาที่มา ที่ขึ้นบินของโดรน ใครเป็นผู้บังคับ ควบคุม หรือเจ้าของ และปลายทางไปไหน แต่เราต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าข้อมูลเหล่านี้เกิดขึ้นจริงและมีจริง ขณะนี้ตั้งข้อสมมุติไว้ร้ายแรงที่สุดแล้วนำไปสืบสวนตรวจสอบให้ได้

ทั้งนี้ หากโดรนมี 40 ลำตามที่มีการรายงาน จะถือว่าเป็นการก่อวินาศกรรมได้หรือไม่ เพราะพลเรือนไม่สามารถครอบครองได้ขนาดนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า เป็นข้อมูลที่เราต้องเอามาดูร่วมกันกับฝ่ายความมั่นคง ตนต้องนำข้อมูลเหล่านี้รายงานทางศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ (ศปก.ทอ.) ส่วนจะเข้าข่ายก่อวินาศกรรมหรือไม่ จากข้อมูลที่เราแจ้งจากการบิน ถ้าข้อมูลนั้นเป็นความจริงคือ เป็นการบินในระดับผ่านไป ต้องไปดูพฤติกรรมและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าจะถึงขั้นเป็นการก่อวินาศกรรมหรือไม่ แต่ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งเหล่าทัพและ ตร. รวมถึง กพท. เราต้องตั้งสมมุติฐานขั้นร้ายแรงที่สุด และกำหนดแผนมาตรการป้องกันไว้ อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นก่อเหตุหรืออะไรที่ไม่พึงประสงค์ และเกิดอันตรายต่ออากาศยานหรือพี่น้องประชาชน เราก็ต้องมีแผนปฏิบัติที่จะรองรับอย่างชัดเจนและเข้มข้นต่อไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประชาชนอาจเห็นเป็นโดรน แต่หลายครั้งพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นแสงจากอากาศยาน (เครื่องบิน) ซึ่งสามารถใช้แอปพลิเคชั่น Flightradar ในการตรวจสอบเบื้องต้น แต่ถ้าพบเห็นโดรนในพื้นใดขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อใช้เป็นข้อมูลจุดปล่อยโดรนได้ นอกจากนี้ ตร.ได้กำหนดแผนปฎิบัติเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน จากการใช้อากาศยานไร้คนขับในการก่อเหตุหรือกระทำการไม่พึงประสงค์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว อีกทั้งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงความไม่สงบในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ฝ่ายความมั่นคงขอยืนยันว่าจะให้การดูแลอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครปั่นป่วนสถานการณ์ได้

Related Posts

Send this to a friend