‘ชูศักดิ์’ เผย กมธ.แก้ รธน. สัดส่วนเพื่อไทย แปรญัตติที่มา กมธ. ร่าง รธน. เสนอให้มี สสร. จาก ปชช.
‘ชูศักดิ์’ เผย กมธ.แก้ รธน. สัดส่วนเพื่อไทย แปรญัตติที่มา กมธ. ร่าง รธน. เสนอให้มี สสร. จาก ปชช. ขั้นต้น กังวล สูตร 20 จับ 1 เกิดเสียงข้างมากชี้นำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นดั่งใจ เรียกร้องรัฐบาลตั้งคำถามประชามติรอ เป็นหลักประกัน ขณะที่ ‘ชลน่าน’ ยัน เพื่อไทยพร้อมโหวตตาม กมธ. ของพรรค สงวนความเห็น ป้อง ฮั้ว กมธ. ยกร่างสีใดสีหนึ่ง รับ เป็นปัจจัยสำคัญยื่นซักฟอกเมื่อไหร่ เปรยน้ำท่วมหาดใหญ่อยู่ในญัตติแล้ว
วันนี้ (9 ธ.ค. 68) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ในชั้นกรรมาธิการ มีการประชุมหลายครั้ง และท้ายที่สุดมีข้อสรุปในหลายเรื่อง ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (10 ธ.ค.) จะเริ่มพิจารณารายมาตรา โดยในชั้นกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ เป็นการตัดสินใจเลือกองค์กรที่ทำหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้ระบบให้มีกรรมาธิการ 2 คณะ คือ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้ง 2 คณะ ประกอบด้วย คณะละ 35 คน โดยใช้สูตร 20 จับ 1 ความหมาย คือ ถ้า สว. และ สส. รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถเลือกกรรมาธิการได้ 1 คน ถ้าพรรคการเมืองใดมี 120 คน สามารถเลือกกรรมาธิการได้ 6 คน เป็นต้น ซึ่งการใช้สูตรเช่นนี้ จะตัดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนออก ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ในกรรมาธิการ ว่า อาจทำให้เสียงข้างมากของรัฐสภา สามารถเลือกกรรมาธิการที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจเป็นไปตามความต้องการของรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ ใครคุมเสียงรัฐสภาส่วนใหญ่ได้ ก็จะชี้นำให้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นดั่งที่ต้องการได้ ซึ่งในส่วนกรรมาธิการพรรคเพื่อไทย ได้สงวนคำแปรญัตติในประเด็นสำคัญ คือ คิดว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีผลดีต่อประชาชน และประชาธิปไตยนั้น ควรให้ประชาชนคนไทยมีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะระบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เป็นสภาที่จะพิจารณากฎหมาย และกลั่นกรองกฎหมายก่อนนำเสนอรัฐสภาได้ เราจึงเสนอ สสร. ที่คิดไว้ในวาระ 1 คือ มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน 300 คน และให้สภาเลือกเหลือ 100 คน และจากการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ 51 คน เป็น สสร. 151 คน เชื่อว่า การใช้วิธีนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ให้รัฐสภากลั่นกรอง
ข้อที่สอง เมื่อกรรมาธิการเลือกโดยใช้กรรมาธิการ 2 คณะ ใช้สูตร 20 จับ 1 คิดว่า สูตรนี้จะนำไปสู่การมีกรรมาธิการที่เลือกข้าง หรือเป็นไปตามรัฐสภาเสียงข้างมาก จึงสงวนคำแปรญัตติว่า 2 กรรมาธิการนี้ ให้ใช้สูตร 28 หยิบ 1 คือ ให้กรรมาธิการที่รัฐสภาเลือก 25 คน และกรรมาธิการที่รัฐสภาแต่งตั้ง 10 คน เพื่อไปถ่วงดุลในการทำหน้าที่กรรมาธิการ โดย 10 คนนี้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มวิชาชีพ มาเป็นกรรมาธิการในการรับฟังความเห็น เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือ การบล็อก โดยในวัน 10 – 11 ธันวาคมนี้ รัฐสภาคงต้องมาเลือกกันว่า จะใช้สูตรใดในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายชูศักดิ์ ยังกล่าวว่า ในวันที่ 10 และ 11 ธันวาคมนี้ จะเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 รายมาตรา หลังจากนั้นจะกำหนดนัดวันพิจารณาวาระ 3 ซึ่งต้องรอไว้ 15 วัน โดยวาระ 3 จะต้องได้รับเสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และในนั้นต้องมีเสียงของวุฒิสภาเห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญนี้ถึงจะผ่านวาระ 3 จึงเป็นความไม่มั่นใจ และไม่แน่ใจ ว่า ท้ายที่สุดผลวาระ 3 จะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูกันไป แต่เพื่อความมั่นใจ ว่า เรามีความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอเสนอไปยังรัฐบาล ว่า ขอให้คณะรัฐมนตรี มีมติไว้เลย ว่า ในการตั้งคำถามประชามติ คำถามที่ 1 ว่า เห็นสมควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นหลักประกัน ว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านการพิจารณาวาระ 3 หรือไม่ แต่ถ้ามีมติ ครม. ไว้แล้ว ว่า ให้ทำประชามติตั้งคำถามต่อประชาชนก็จะไม่เสียของ
ด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส. ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวว่า มีประเด็นข้อห่วงใยที่จะพิจารณาในวันที่ 10 – 11 ธันวาคมนี้ กรรมาธิการได้พิจารณาร่วมกันในที่ประชุมของพรรคเพื่อไทย ถึงทิศทางในการลงมติ เพื่อป้องกัน หรือ เสนอสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด โดยมีข้อห่วงใย 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องที่มาของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ในร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก และกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง 2 ข้อห่วงใยนี้ทางกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทย สงวนความเห็นเอาไว้ เพื่อป้องกันการจัดตั้ง และการฮั้วให้ได้มาซึ่งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ หากรัฐสภาสามารถครองเสียงข้างมากได้ วิธีการได้มาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญตามที่ได้กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่จะเข้าสู่ที่ประชุม มีแนวโน้มจะได้สัดส่วนของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า การทำหน้าที่ของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ 35 คน ทำหน้าที่การยกร่าง และการพิจารณาร่างโดยละเอียดไปด้วย ก่อนที่จะส่งร่างไปให้รัฐสภาได้พิจารณา ว่า จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ว่า จะทำอย่างไรที่จะป้องกันการจัดตั้ง และป้องกันการฮั้วในขั้นของรัฐสภาให้ได้มากที่สุด ข้อสงวนของพรรคเพื่อไทยหากเป็นไปตามที่เราเสนอ จะสามารถลดการครอบงำความเป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากของซีกใดซีกหนึ่ง หรือสีใดสีหนึ่งได้
ส่วนวิธีการพิจารณามั่นใจว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ดีกว่ากรรมาธิการ 35 คน ที่ทำหน้าที่ทั้งพิจารณาร่าง และยกร่าง เราตั้งวิธีพิจารณา หรือ กลไกร่างรัฐธรรมนูญให้มีกรรมาธิการอย่างน้อย 3 คณะ คือ สภาร่าง คณะกรรมาธิการยกร่าง และคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็น อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยืนยันที่จะลงมติให้ความเห็นตามกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยที่นำข้อสงวนเสนอความเห็นต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาในแต่ละมาตรา
เมื่อถามว่าคำถามประชามติ ครม. มีมติได้เลยไม่ต้องรอให้ผ่านวาระ 2 วาระ 3 ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตามกฏหมายประชามติ ครม. สามารถมีมติได้ โดยใช้คำว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควร ให้ถามมติพี่น้องประชาชนก็สามารถทำได้
ด้านนายจุลพันธ์ กล่าวเสริมว่า ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เดินหน้าอยู่ ในกรณีผ่านวาระสามแล้ว ที่ประชุมสภามีมติเห็นชอบคณะรัฐมนตรีสามารถส่งคำถามที่สอง คือ เรื่องกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เป็นคำถามที่ 2 ประกอบกันได้ เพื่อสร้างหลักประกันให้กับประชาชนคนไทยว่าหลังการเลือกตั้งอย่างน้อยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเดินหน้า โดยคำถามที่ 1 ควรส่งไปให้ประชาชนได้เลือกในการทำประชามติ
ส่วนในกรรมาธิการได้หารือเรื่องนี้หรือไม่ และกรรมาธิการสัดส่วนรัฐบาลได้ตอบรับหรือมีเงื่อนไขเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้หารือกันในประเด็นนี้ แต่ที่ตนเองตั้งข้อสังเกตครั้งนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดจะผ่านวาระ 3 ได้หรือไม่ ถ้าผ่านได้ก็ดี เพราะวาระ 1 และ 2 สามารถทำร่วมกันได้ แต่ถ้าไม่ผ่านจะเป็นปัญหา เลยคิดว่า ดีที่สุด คือ ให้ ครม. มีมติให้ตั้งคำถามที่ 1 ให้ประชาชนลงประชามติเลย จะเป็นหลักประกัน
ส่วนท่าทีรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพราะพรรคเพื่อไทยเคยเรียกร้องประเด็นนี้มาก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนเองเคยพูดประเด็นนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากทางกรรมการซีกรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี
“วันนี้สถานการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปมากกว่าเก่า กระบวนการกำลังจะลงมติวาระ 2 และ 3 แต่สัญญาณเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งมีความหนักใจต่อสัญญาณที่เราได้รับมา ว่าโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนี้จริงหรือไม่ จากรัฐบาลปัจจุบันเราไม่มีความมั่นใจ วันนี้จึงมาตอกย้ำในข้อเรียกร้องเดิม เพื่ออย่างน้อยให้การทำประชามติคำถามแรกเป็นหลักประกันให้คนไทยได้” นายจุลพันธ์กล่าว
เมื่อถามว่ามีโอกาสยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนถึงวาระ 3 หรือ รอให้วาระ 3 จบไปก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าตอนนี้ปัจจัยทางการเมือง มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งทางรัฐบาลต้องยอมรับว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน พื้นที่สงขลาเองยังหนักมากขยะเต็มเมือง ทางอยุธยาแช่น้ำมา 4 เดือนปัญหาเหล่านี้ได้ถูกบรรจุเข้าไปในการพิจารณาเรื่องการตรวจสอบรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทยแล้ว รวมถึงในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทยกัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องเก็บมาพิจารณา แต่ก็ยังไม่ได้มีการสรุป
ด้านนายแพทย์ชลน่าน กล่าวเสริมว่า เรื่องของการตัดสินใจ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ตัวร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในวันที่ 10 – 11 ธันวาคม เราจะรู้ว่าทิศทางรัฐธรรมนูญทั้งหมดจะออกมาอย่างไร เป็นไปตามที่เราเสนอไว้ในกรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือไม่ หรือเป็นไปตามกรรมาธิการเสียงข้างมากที่เขามีมติไว้แล้ว ซึ่งตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณา เพราะสิ่งที่เราเห็นตัวรัฐธรรมนูญ หากเป็นไปตามเสียงข้างมากเรามองในอนาคตได้เลยว่ารัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นใหม่ จะเป็นรัฐธรรมนูญที่โน้มเอียงไปสู่สีใดสีหนึ่งเป็นการเฉพาะตามเสียงข้างมากในสภาถ้าเป็นไปตามแนวนั้นจริง สิ่งที่เราต้องมาพิจารณาในมาตรา 151 ต้องมีเหตุและผลรองรับต่อไป
เมื่อถามย้ำว่าปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจะยื่นอภิปรายรัฐบาล คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องสถานการณ์การเมืองใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทุกปัจจัยต้องเก็บมาคิดประกอบกันหมด ไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้มีคำตอบว่าจะยื่นหลังปีใหม่หรือไม่












