‘อภิสิทธิ์’ ไม่แปลกใจ ‘ประชาธิปัตย์’ ร่วมรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ รับ กระทบจิตใจผู้สนับสนุน
ย้ำประชาธิปัตย์อยู่มายาวนานไม่ใช่เพราะว่าอะไรก็ได้ เพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ มอง พรรคประชาชนได้เปรียบ เหตุคนจำนวนมากรู้สึกว่าไม่มีทางเลือก แต่ถ้าจะเลือก คงเลือกพรรคที่ยังไม่มีแผล และไม่มีประเด็นที่รู้สึกว่าจะทรยศต่อความคิดความเชื่อ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการร่วมรัฐบาลเพื่อไทยของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่ได้แปลกใจ เป็นสิ่งที่มองเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว และเป็นเหตุผลที่วันที่ตนเองลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์หลังจากเข้าไปคุยกับหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ก็เข้าใจว่าทิศทางจะเป็นอย่างนี้ และทราบมาตลอดว่ามีความพยายามในการติดต่อกันมาแบบนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นเวลานานและผูกพันอยู่กับพรรค ต้องบอกว่าการกระทำครั้งนี้กระทบกระเทือนจิตใจของสมาชิก อดีตสมาชิก และผู้สนับสนุนอย่างรุนแรง จะสังเกตเห็นว่าในบรรดาบุคคลที่ไม่เห็นด้วยในการลงมติเข้าร่วมรัฐบาลก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรคฯ ทั้งสามคนที่ยังมีตำแหน่งอยู่ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็กลายเป็นทิศทางของพรรค ที่ผู้ที่เป็นผู้บริหารก็ต้องเดินหน้าและรับผิดชอบ”
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่าประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้มาอย่างยาวนานในอดีตที่ผ่านมา มีเหตุผลหลัก ๆ นอกเหนือจากแนวคิดแนวทางในการทำงานแล้ว คือการพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และไม่ได้มุ่งแสวงหาในเรื่องของอำนาจโดยไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่ทำให้มีความแตกต่างกับหลายพรรคในอดีต และจะสังเกตเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่พรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปก็ยากที่จะกอบกู้ศรัทธากลับคืนมา
นายอภิสิทธิ์ กล่าววว่า แนวความคิดที่มองว่าการเข้าไปเป็นรัฐบาลจะช่วยสร้างผลงาน เพื่อเรียกคะแนนนิยมกลับมา ที่จริงสังคมก็มองเห็นชัดเจนว่าการเข้าไปครั้งนี้ไม่ได้มีผลในเชิงเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่แล้ว และการเข้าไปร่วมครั้งนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีนโยบายอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าไปผลักดันในตำแหน่งที่ได้มา ที่จะทำให้คนมองเห็นว่าไปสร้างความแตกต่างเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ต้องพิสูจน์กันต่อไป
เมื่อถามว่าเลขาธิการพรรคฯ ชุดปัจจุบันระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้มาโดยตลอดจึงตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อให้พรรคเติบโต นายอภิสิทธิ์ ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวรอพิสูจน์ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ในการพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ทุกคนก็พูดชัดเจนว่าหลายครั้งเราอาจจะทำด้วยวิธีอื่นแล้วก็ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ทำให้เราไม่ทำ นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไป ย้ำว่าที่ประชาธิปัตย์อยู่มายาวนานไม่ใช่เพราะว่าอะไรก็ได้ เพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ
ส่วนที่อ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล เพราะผู้บริหารเมื่อปี 53 ไม่อยู่ในพรรคแล้ว เป็นเรื่องที่แล้วแต่คนจะมอง แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องผู้บริหารยุคใดยุคหนึ่ง กรณีนี้เป็นเรื่องของอุดมการณ์ แนวทางของพรรคที่ทำกันมาช้านาน คนอาจจะบอกว่าพรรคแต่ละยุคแต่ละสมัยอยู่ที่ตัวคน หรืออยู่ที่ผู้บริหาร ความจริงสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวคือความคิดอุดมการณ์ แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกแล้ว แต่ก็ยังยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปัตย์อยู่
เมื่อถามว่าการอ้างเช่นนี้เหมือนกับให้นายอภิสิทธิ์เป็นแพะหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ติดใจอะไร เพราะเหตุผลหนึ่งที่ลาออกจากพรรค เพราะรู้ว่าจะเป็นความขัดแย้งเป็นปัญหา และถือว่าเมื่อพรรคได้เลือกผู้บริหารชุดนี้ก็ต้องให้เขาทำงานอย่างเต็มที่ แต่จริง ๆ การตัดสินใจเข้าไปร่วมคิดว่าสังคมก็มองไปในทางเดียวกันว่า ความจำเป็นไม่มี เป็นเรื่องของการอยากเข้าสู่อำนาจมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปทำหน้าที่รัฐบาลแล้ว ก็ต้องสร้างผลงานให้กับประชาชนเพื่อเรียกคะแนนนิยมกลับมา ส่วนตัวแล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ประเทศอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างจะมีปัญหาเชิงโครงสร้างเยอะมากที่กำลังต้องการระบบการเมืองที่ดีเข้ามาจัดการ แต่ที่ผ่านมาเกือบทุกองค์กรทุกสถาบันกำลังถูกตั้งคำถามทั้งกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ใช้ในการหาเสียง สิ่งเหล่านี้กำลังบั่นทอนศรัทธาของประชาชน
เมื่อถามว่า คนที่อกหักจากพรรคประชาธิปัตย์จะไปเลือกพรรคประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่พรรคประชาชนอยู่อยู่ในจุดที่ค่อนข้างได้เปรียบ ในแง่ที่ว่าประชาชนมองว่า พรรคการเมืองต่างๆ วนเวียน และอยู่ในและอยู่ในวังวนของการแย่งชิงอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความคิด อุดมการณ์ ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่สำหรับ ผู้สนับสนุนพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้ เขามองว่าเป็นเรื่องเดียวกันเป็นเนื้อเดียวกัน จะอ้างอย่างเดียวคือ ป้องกันไม่ให้พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่มาเป็นรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกวันนี้ไปเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ ส่วนคะแนนจะสวิงหรือไม่ ตนเองไม่ได้อยู่ในการเมืองแต่ได้พบปะกับผู้คน คิดว่ามีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าขณะนี้เขาไม่มีทางเลือก แต่ถ้าต้องเลือก คงเลือกพรรคที่ยังไม่มีแผล และไม่มีประเด็นที่เขารู้สึกว่าจะทรยศต่อความคิดความเชื่อของคนที่เกี่ยวข้อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกระแสที่การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาธิปัตย์อาจจะกลายเป็นพรรคต่ำ 10 หรือสูญพันธุ์ว่า ไม่มีใครทราบ แต่ก็หนักใจแทนผู้บริหาร ตรรกะที่บอกว่าถ้าเข้าไปมีอำนาจแล้วมีผลงานก็ใช้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 62 ซึ่งตนเองพูดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าไม่ใช่ สำหรับผู้ที่สนับสนุนพรรคมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ คือเรื่องของจุดยืน เรื่องของความมั่นคง และหลักอ้างอิงในการตัดสินใจ
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยด้วยว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งพรรค หรือมีความคิดที่จะไปอยู่พรรคไหน และหากตนเองจะกลับมาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องเป็นอุดมการณ์ประชาธิปัตย์แบบที่ตนเองเข้าใจ นอกจากนี้ การจะกอบกู้อะไรต่าง ๆไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ต้องให้เวลา ขณะนี้เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ก่อนว่าแนวทางที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันเชื่อในที่สุดจะเป็นจริงหรือไม่ ส่วนตัวไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการเติบโตด้วยวิธีแบบนี้
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ละทิ้งอุดมการณ์ และคำขวัญของพรรคไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยบอกเองว่าประชาธิปัตย์วันนี้ไม่ใช่ประชาธิปัตย์วันก่อน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าอุดมการณ์คล้ายกันแล้วก็ต้องถามพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคนเขียนหนังสือเชิญเข้าร่วมรัฐบาล ถ้าพรรคเพื่อไทยมองว่าประชาธิปัตย์เปลี่ยนไปแล้ว ตนเองก็มองว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้เปลี่ยน ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง