จนท.ลาดตระเวนพบชาวเอธิโอเปีย 14 ราย ข้ามจากบ้านช่องแคบ ประเทศเมียนมา เข้าไทย
ฉก.ราชมนู ลาดตระเวนพบชาวเอธิโอเปีย 14 ราย ข้ามจากบ้านช่องแคบ ประเทศเมียนมา เข้าไทย ด้าน ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เผย เป็นกลุ่มที่ติดตามมานานร่วม 10 เดือน มอง เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี DKBA จริงจังช่วยเหลือเหยื่อ ชี้ ยังมีชาวต่างชาติอีก 50 คน ที่ติดอยู่ วอน ปล่อยตัวออกมาให้หมด และให้ความเป็นธรรมกับเหยื่อ ก่อนส่งกลับประเทศต้นทาง
วานนี้(20 พ.ย. 68) เวลา 17:30 น. หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย – เมียนมา ในพื้นที่บ้านห้วยน้ำนัก ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก โดยพบกับชาวเอธิโอเปียจำนวน 14 ราย แบ่งเป็นชาย 11 ราย หญิง 3 ราย ที่ลักลอบข้ามมายังฝั่งไทย จากพื้นที่บ้านช่องแคบ ซึ่งเป็นเมืองสแกมเมอร์ที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งไทย มีเพียงแม่น้ำเมยกั้น จึงนำตัวไปที่ สภ.พบพระ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อต่อไป
ขณะที่กฤติญา ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เปิดเผยถึงการช่วยเหลือเหยื่อชาวเอธิโอเปียทั้ง 14 คน จากเมืองสแกมเมอร์บ้านช่องแคบ ในเมียนมา ที่หนีข้ามมายัง จ.ตาก ว่า ตั้งแต่ที่เราติดตามกันมา ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ และวันนี้ยังคงติดตามต่อเนื่อง ทุก ๆ เดือน แม้กระทั่งล็อตแรกที่ปล่อยตัวเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ กลุ่มนี้ก็ไม่ได้ออกมา หลังจากนั้นก็มีการติดตามพร้อมกับกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มอื่นก็ออกมาหมดแล้วเหลือแค่พิกัดเหล่านี้ ท้ายที่สุดเมื่อวานนี้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตรผู้นำ DKBA เราก็ติดตามทันทีว่าเมื่อไหร่ 3 กลุ่ม จะได้รับการปล่อยตัว เพราะเป็นเหยื่อจริง ๆ ซึ่งเขาบอกว่าพยายามจะนำออกมาให้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ และนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ DKBA เห็นความจริงจังในเรื่องของการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ แต่ก็ทราบว่ายังมีคนสัญชาติอื่น ตอนที่เคเคปาร์คเกิดการปราบปราม ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง เข้าไปยังบ้านช่องแคบอีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวเคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย อีกประมาณ 50 คน ซึ่งเราไม่มีรายชื่อ แต่หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ปล่อยตัวออกมาให้หมด ถึงจะเป็นการปราบปรามอย่างแท้จริง และดำเนินการกับคนที่เป็นมาเฟียจีน หรือเจ้าของกิจการนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นกิจการฉ้อโกงออนไลน์ และเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ หากเป็นไปได้ก็อยากให้ปล่อยตัวออกมาให้หมด และให้มีการปราบปรามอย่างจริงจัง
กฤติญา กล่าวอีกว่า เหยื่อ 14 คนดีใจมาก เพราะตลอดระยะเวลาที่เข้าไป ถูกยึดโทรศัพท์ทั้งหมด และพยามติดต่อโดยการใช้วิธีส่งข้อความผ่านจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงาน แอบส่งข้อความขอความช่วยเหลือมาตลอด เราไม่เคยได้คุยตรงกับเขาเลย ไม่มีภาพอะไรออกมา แต่ก็มีความพยายามในการขอความช่วยเหลือต่อเนื่องมาโดยตลอด และนับว่าเป็นโชคดีมาก ๆ ที่ในที่สุดสามารถออกมา และพวกเขาดีใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับครอบครัว ซึ่งเห็นแล้วก็ตื้นตันมาก ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งที่ DKBA ทหาร ตำรวจ ที่ดูแลผู้เสียหายอย่างดี รวมถึงดูแลเรื่องอาหารการกิน และให้ความอุ่นใจกับผู้เสียหายทั้งหมด โดยขณะนี้กำลังรอเข้าสู่กระบวนการการคัดแยกเหยื่อต่อไป ถือเป็นภาพที่ดีของประเทศไทยมาก ๆ ที่มีความร่วมมือร่วมใจกัน และให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายคนที่เป็นเหยื่อก็ได้รับการดูแล และเข้าสู่กระบวนการและเราจะยังคงติดตามต่อ
กฤติญา กล่าวอีกว่า เราได้นำเรื่องนี้พูดคุยกับหลายภาคส่วน รวมถึงนายกรัฐมนตรี ทหาร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แต่ว่าไม่มีหน่วยงานไหนที่สามารถประสานช่วยเหลือมาได้ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย. 68) ทุกฝ่ายร่วมมือกันจนสำเร็จได้ ดังนั้น อยากให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายสำหรับกลุ่มที่ถูกหลอกมา ก็ควรจะได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาการคัดแยก และได้รับการคุ้มครอง และระยะเวลาในการอยู่ประเทศไทยคือทุกคนติดอยู่ในเมียนมามาเป็นปีแล้ว อยากจะกลับบ้าน ก็ขอให้ขั้นตอนต่าง ๆ กระชับ และสมเหตุสมผล คำนึงถึงความรู้สึกของผู้เสียหายด้วย ทุกคนอยากกลับบ้าน ไม่มีใครที่อยากจะมาพักฟื้นอยู่ที่ประเทศไทย และส่งกลับคืนสู่ภูมิลำเนา และหากต้องการหลักฐานเพิ่มเติม ทางภาคประชาสังคมพร้อมให้ความร่วมมือด้วย












