‘เพื่อไทย’ จี้ ‘รัฐบาลอนุทิน’ ยกระดับมาตรการเชิงรุกปราบสแกมเมอร์ ฟอกเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ
‘เพื่อไทย’ จี้ ‘รัฐบาลอนุทิน’ ยกระดับมาตรการเชิงรุกปราบสแกมเมอร์ – ฟอกเงิน – อาชญากรรมข้ามชาติ ยกความสำเร็จที่เคยทำได้ยุค ‘รัฐบาลแพทองธาร‘ ชี้ ต้องเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่หวังคะแนนนิยม ทวงถามความคืบหน้าปมสินบน 40 ล้านบาท จี้ ‘ไชยชนก’ หากหลักฐานอยู่ในมือ ไม่ต้องรอถึง 30 วัน
วันนี้ (16 ต.ค. 68) เวลา 13.00 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และโฆษกพรรค นายสยาม หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู นางสาวจิรัชยา สัพโส ส.ส.สกลนคร และ นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงการณ์ “ข้อเสนอมาตรการเชิงรุกในการร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ”
นายประเสริฐ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย เสนอมาตรการเชิงรุกในการร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาสแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเคยได้รับการแก้ไขจนเห็นผลเป็นรูปธรรมในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กลับมาเป็นปัญหาสำหรับพี่น้องประชาชน และประเด็นใหญ่ระดับโลกอีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีที่มีการกดดันจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ เดินหน้าปราบปราม ติดตามขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง
พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ยกระดับมาตรการปราบปรามขบวนการกล่าวเพื่อไม่ให้ประเทศไทยส่วนหนึ่งของอาชญากรรม ดังนี้
1.ดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมัน เพื่อสกัด Scam Center ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอาจพิจารณายกระดับจากโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-จีน-เมียนมาที่สำเร็จมาแล้วในสมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
2.กลับมาเข้มงวดเรื่องการปิดเส้นทางธรรมชาติ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเอาคนไทยข้ามไปและการลักลอบหนีกลับเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย
3.เร่งสานต่องานจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นเพื่อ ตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) ระดมความร่วมมือจากนานาประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม แก้ไขขั้นเด็ดขาด ช่วยเหลือเหยื่อกลับบ้าน
4.เจรจากดดันเพื่อให้กัมพูชายอมรับเงื่อนไขข้อที่ 3 คือ การร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไข 4 ข้อเดิมตามมติ สมช. สมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ที่ได้เคยเสนอไว้ ไปผลักดันผ่านการลงนาม Peace Agreement ในการประชุม ASEAN SUMMIT ที่จะถึงในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
5.ให้รัฐบาลกลับมาจริงจังเรื่องของการระงับบัญชีม้า และซิมที่ผูกกับโมบายแบงก์กิ้ง ที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าเกี่ยวข้อง ตลอดจนการปราบปรามเว็บพนันและเว็บหลอกลวงผิดกฎหมายเพื่อป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ในประเทศ โดยในรัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้ใช้มาตรการนี้ในการระงับบัญชีม้ากว่า 500,000 บัญชี และป้องกันการสูญเสียได้กว่า 20,000 ล้านบาท
6.ควรจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ตามพรก. มาตราการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และเร่งออกกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับ พรก. ป้องกันและปรามอาชญากรรมด้านไซเบอร์ และพรก. สินทรัพย์ดิจิทัล
7.ให้รัฐบาลใช้ศูนย์ AOC 1441 ที่ได้ตั้งขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว เพื่อเป็น One Stop Service ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการหลอกลวงออนไลน์แบบเร่งด่วน เพื่อให้เรื่องร้องทุกข์ เรื่องระงับธุรกรรมทางการเงิน และเรื่องการประสานงานกับธนาคารและตำรวจไซเบอร์กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง
“พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้อง ให้รัฐบาลอนุทิน เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แบบหวังผลจริง ด้วยการเดินหน้ามาตรการปราบปรามสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ให้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างถูกต้อง ไม่ได้เพียงแต่ทํางานตามกระแสเพียงเพื่อหวังคะแนนนิยม และผลทางการเมืองเท่านั้น” นายประเสริฐ กล่าว
ส่วนท่าทีรัฐบาลที่ยังไม่จริงจังกับการปราบคอลเซ็นเตอร์ มองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลควรมีความชัดเจนในเรื่องนี้ จะโยนความรับผิดชอบไปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ นายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ และสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้อย่างถูกต้อง และตรงประเด็น ที่ผ่านมาตนเองรู้สึกว่านายกรัฐมนตรี พยายามบ่ายเบี่ยงในการตอบปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ส่วนที่ทั่วโลกพยายามกดดันกัมพูชา แต่ไทยยังคงนิ่ง จะจี้เรื่องนี้อย่างไร นายประเสริฐ กล่าวว่า นี่คือหนึ่งในข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นโอกาสแล้ว ขณะนี้นานาชาติได้กดดันรัฐบาลกัมพูชาแล้ว เป็นโอกาสที่รัฐบาลไทย จะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการดำเนินการร่วมมือกับนานาชาติแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้ง สหรัฐฯ อังกฤษ และเกาหลีใต้ ที่ดำเนินการแล้ว ก็อยากให้รัฐบาลไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร่งด่วน
สำหรับกรณีของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ทางรัฐบาลไทย ควรทำอย่างไร นายประเสริฐ กล่าวว่า อะไรที่เป็นโรคผิดกฏหมายก็ควรดำเนินการได้เลย
เมื่อถามย้ำว่า สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีข้อมูลของนายเบน สมิธ บ้างหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการรายงานมา ฉะนั้น เรื่องนี้ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่แล้ว หากมีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ก็เปิดเผยออกมาได้เลย จะได้ช่วยกันดู
ส่วนเรื่องมาตรการ 3 ตัด ควรจะจะต้องดำเนินการทันทีเลยหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาล น.ส.แพทองธาร เคยใช้การประชุม สมช. ในการกำหนดทิศทาง ซึ่งรัฐบาลนายอนุทิน สามารถใช้แนวทางนี้ได้เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดที่แล้วได้ดำเนินการอย่างได้ผล และมีตัวเลขชัดเจน รวมถึงการหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียก็ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งตัวเลขอาชญากรรมทางออนไลน์ ก็มีค่าความเสียหายลดลง
เมื่อถามถึง กรณีที่ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ออกมาแฉการสภาฯ ว่า 40 ล้านบาทมีบุคคลยื่นสินบน จำนวน 40 ล้านบาท แลกกับการไม่ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายประเสริฐ ย้ำเรื่องนี้ว่า สมัยตอนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ 2 ปี ไม่เคยมีใครมาพูดเรื่องนี้เลย แต่รัฐมนตรีคนใหม่ยังไม่เคยมานั่งในตำแหน่งเลย กลับมีคนมาเสนอเรื่องนี้แล้ว ฉะนั้น เรื่องนี้ที่รัฐบาลบอกว่าจะปราบอย่างจริงจัง และบอกว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบภายใน 30 วันนั้น ความจริงไม่ควรใช้เวลาถึง 30 วันด้วยซ้ำ เพราะเรื่องนี้ท่านทราบดีว่าใครเป็นคนให้ข้อมูล นั่นก็คือ สส. 2 คนจากพรรคภูมิใจไทย และมีผู้ช่วยสส.อีกหนึ่งคน เรื่องนี้ต้นตอหาไม่ยาก โดยสิ่งที่รัฐมนตรีรับปาก ว่าจะหาคนผิดให้ได้ภายใน 30 วัน คิดว่าไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้จึงขอทวงถามว่าเรื่องไปถึงไหนแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ถึง 30 วันแต่เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน เพราะเป็นคนใกล้ตัวนายไชยชนกทั้งสิ้น เพราะสามารถเรียกมาให้การและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด












