‘สุชาติ’ ฟ้องหมิ่นประมาท ‘รักชนก-สหัสวัต‘ ปม ตึกย่านพระราม 9 ยัน ไม่ใช่การปิดปาก – ไม่ยอมความ
วันนี้ (26 พ.ค. 68) ที่ศาลอาญารัชดาภิเษก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการไต่สวนมูลฟ้องในคดีหมิ่นประมาทที่ยื่นฟ้อง นางสาวรักชนก และนายสหัสวัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน โดยเปิดเผยว่า การตัดสินใจฟ้องครั้งนี้ไม่ใช่การปิดปาก แต่เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองและครอบครัว หลังจากทั้งสองกล่าวหาว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โดยสำนักงานประกันสังคม ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายสุชาติ ยืนยันว่า กระบวนการจัดซื้อดังกล่าวอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการลงทุนของประกันสังคม ซึ่งรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง มีเพียงหน้าที่กำหนดนโยบายเท่านั้น พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า เหตุใดผู้แทนราษฎรจึงเลือกกล่าวหาผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย แทนที่จะใช้กลไกตรวจสอบที่ถูกต้อง เช่น การยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรืออภิปรายในสภา นายสุชาติเห็นว่า การตั้งข้อกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานและเอ่ยชื่ออย่างชัดเจนถือเป็นการทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง หากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามกันได้ การกล่าวหาผ่านสื่อโดยไม่มีข้อเท็จจริงไม่ใช่การตรวจสอบ แต่เป็นการใส่ร้าย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตลอดชีวิตไม่เคยฟ้องร้องใครมาก่อน ครั้งนี้ถือเป็นการขึ้นศาลครั้งแรก เพราะไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงได้อีก การที่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีการสอบถามก่อน ทำให้ไม่สามารถชี้แจงผ่านสื่อได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการศาล เพื่อให้สังคมเห็นความจริง และศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงค่าเสียหายที่เรียกกับ สส. ทั้งสอง นายสุชาติ ตอบว่า ทนายความได้ยื่นเรียกค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ไม่ใช่เพราะหวังเงิน แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์จากการกระทำของผู้กล่าวหา และเพื่อเป็นบรรทัดฐานในสังคม พร้อมย้ำว่าไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบว่าคำพูดของพวกเขาส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้อื่นเพียงใด และยืนยันว่าไม่ใช่การฟ้องปิดปาก เพราะหากตนเองไม่พึ่งกระบวนการศาล ก็ไม่ทราบว่าจะพึ่งใคร
ส่วนการเจรจาเพื่อประนีประนอมนั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ตนเองเคยให้อภัยคนที่กล่าวหาแต่ยอมรับผิด แต่ในกรณีนี้มองว่าเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว พร้อมทั้งตั้งคำถามกลับว่า สส. คนดังกล่าวได้ทำหน้าที่ผู้แทนอย่างแท้จริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมามักกล่าวหาบุคคลอื่นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ถูกพาดพิง
นอกจากนี้ นายสุชาติ ยังกล่าวด้วยว่า ไม่เคยมีปัญหากับสื่อมวลชน แต่อยากให้สื่อช่วยพิจารณาด้วยว่าผู้แทนราษฎรที่พาดพิงบุคคลอื่นนั้น พูดจากข้อเท็จจริงหรือเพียงต้องการพื้นที่สื่อ การทำการเมืองควรมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมผ่านช่องทางที่ไม่มีการพิสูจน์